บ้านท่าสว่าง จ.สุรินทร์
กี่พันตะกอ ทอไหมทองที่ท่าสว่าง
เมื่อพูดถึงแบรนด์อันเลอค่าด้วยประวัติศาสตร์ ซึ่งมีการออกแบบและเป็นงานแฮนด์เมดที่มีความวิจิตรตระการตาและคู่ควรกับราคาอันสูงลิ่วที่จะยิ่งทวีคูณเมื่อเวลาผ่านไป หลายคนคงนึกถึงชุดโอต์ กูตูร์จากห้องเสื้อฝรั่งเศส หรือกระเป๋าหนังลูกวัวในท้องจระเข้ โดยหารู้ไม่ว่า แบรนด์เนมระดับนี้ มีอยู่ที่บ้านท่าสว่าง ในจังหวัดสุรินทร์ของไทยนี่เอง…
“จันทร์โสมา” คือชื่อของแบรนด์ที่ก่อตั้งโดยอาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ผู้ซึ่งถือกำเนิดในตระกูลช่างทอผ้าที่สืบทอดวิชาการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม ย้อมสีธรรมชาติ และทอเป็นผืนผ้ามาหลายชั่วอายุคน โดยมีจุดเด่นพิเศษกว่าที่อื่น ตรง “ไหมน้อย” ที่ละเอียดนุ่มนวล สาวและทอได้ยากยิ่ง จนเริ่มจะเลือนหายไป แทบไม่มีใครทราบว่าช่างที่นี่ทอไหมน้อยได้จนกระทั่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชปรารภว่า “สมัยก่อนผ้าไหมไทยมีความนุ่ม เนียน แน่น มาก ทำอย่างไรจึงจะได้ผ้าชนิดนั้นคืนกลับมา” เหล่าข้าราชบริพารก็ออกเสาะหา จนได้พบผ้าทอไหมน้อยที่ท่าสว่าง เมื่อทอขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นที่พอพระทัย จึงพระราชทานเงินส่วนพระองค์ สร้างโรงทอผ้าตามรูปแบบราชสำนักโบราณขึ้นที่บ้านท่าสว่างแห่งนี้
การทอไหมน้อยยากอย่างไร เริ่มตั้งแต่สาวไหมเส้นละเอียดมาฟอก ต้มแล้วย้อมสีธรรมชาติด้วยแม่สีหลักสามสี คือ สีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแล และสีครามจากเมล็ดคราม ซึ่งสีครามนี้ย้อมได้ยาก สมัยก่อนต้องไปย้อมที่บ้านหมอคราม และวิชาก็สูญไปหมด ต้องทดลองฟื้นฟูกันขึ้นมาใหม่ เมื่อได้เส้นไหมย้อมสีแล้ว ยังต้องทำไหมทอง ปั่นเส้นด้ายควบกับเส้นเงินแท้ เพื่อทอเป็นผ้ายกทอง
ด้วยลวดลายที่ซับซ้อน จึงต้องใช้ตะกอจำนวนมาก ตั้งแต่ร้อยถึงเป็นพัน ผ้าไหมน้อยยกทองผืนงามที่สุดใช้ถึง 1,416 ตะกอ แขวนลงมาบนกี่ทอหลังใหญ่ที่ออกแบบพิเศษ ต้องขุดหลุมบริเวณที่ตั้งกี่ลึกลงไป 2-3 เมตร เพื่อรองรับความยาวของตะกอ มีช่างทอคนหนึ่งอยู่ในหลุม คอยสอดตะกอ ใช้ช่างทอถึง 4 คนต่อหนึ่งผืน ทอได้วันละ 4-5 เซนติเมตร ใช้เวลานานกว่าจะออกมาเป็นลวดลายอย่างราชสำนักประยุกต์ มาเป็นลายเทพนม ลายหิ่งห้อยชมสวน ลายก้านขดเต้นรำ ลายครุฑยุดนาค ผสานกับลายผ้าพื้นเมืองสุรินทร์
ผลงานผ้าไหมยกทองบ้านท่าสว่างสร้างชื่อระดับนานาชาติเมื่อได้รับเลือกเป็นผ้าตัดเสื้อและทำผ้าคลุมไหล่ให้กับผู้นำและคู่สมรสเมื่อครั้งไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคเมื่อปีพ.ศ. 2546 ได้รับความไว้วางใจจัดทำผ้าคลุมพระอังสาสำหรับพระราชอาคันตุกะที่เสด็จมาร่วมงานพระราชพิธีมหามงคลเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติครบ 60 ปีตลอดจนการทอผ้าสำหรับเครื่องแต่งกายในโครงการ “โขนพระราชทานศาสตร์และศิลป์ของแผ่นดิน” เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9
ด้วยชื่อเสียงและความมหัศจรรย์ของผ้ายกทองจันทร์โสมา บ้านท่าสว่าง จึงมีแขกมาเยือนมากมาย ที่นี่มีบ้านพักรับรองแบบโฮมสเตย์สะดวกสบายไว้สำหรับผู้ที่ต้องการใช้เวลาศึกษาใกล้ชิด และถึงจะเป็นแบรนด์เนมไฮเอนด์ ก็ไม่ต้องกลัวว่า ราคาจะสูงเกินเอื้อมจนต้องกลับบ้านมือเปล่า ผ้าไหมบ้านท่าสว่าง เนื้อละเอียดนุ่มแน่นชนิดจับต้องได้และใช้ในชีวิตประจำวันก็มีให้เลือก นอกจากนี้ยังมีชุดไทยงดงามไว้ให้เช่าสำหรับเจ้าสาวและงานพิธีสำคัญด้วย
รายละเอียดการเดินทาง
บ้านท่าสว่าง อยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปทางทิศเหนือ 10 กิโลเมตร ใช้ถนนสายเกาะลอย-เมืองลิง (ทางหลวงชนบท สร.4026)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
กลุ่มทอผ้ายกทอง จันทร์โสมา บ้านท่าสว่าง โทร. 089-202-7009, 04-455-8489-90
บริการที่พักแบบโฮมสเตย์ คุณสุทิตย์ ยิ้วว่อง โทร. 087-871-4449, คุณสุพจน์ โสฬส โทร.
087-379-6090 และคุณปราณี ติดใจดี โทร. 087-509-9507
“บ้านท่าสว่าง” จ.สุรินทร์ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ถูกขับเคลื่อนพัฒนาประเทศตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” จากการที่รัฐบาลปัจจุบัน มีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำของสังคมที่มุ่งสร้างรายได้และความเจริญ ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ โดยให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการร่วมกันภาครัฐ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินงานโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งอย่างแท้จริง เพื่อสร้างรอยยิ้ม คืนความสุข เพื่อคนไทยทุกคน และหากใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมแบบไทย ๆ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nawatwithi.com หรือ www.facebook.com/nawatwithi
กลุ่มทอผ้าไหมยกทอง “จันทร์โสมา”
บ้านท่าสว่าง หมู่ที่ 1 ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
“จากพระราชเสาวนีย์และเงินก้อนแรกของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ที่พระราชทาน จึงเกิดเป็นโรงทอจันทร์โสมา ณ บ้านท่าสว่าง ที่ผลิตผ้ายกทอง รูปแบบราชสำนักไทยโบราณ”
สำหรับการทอผ้าไหมยกทองแต่ละผืนนั้น ต้องใช้ตะกอในการทอถึง 1,416 ตะกอ และใช้คนทอ
ในครั้งเดียวกันถึง 4 คน การมาชมการทอผ้าไหมยกทองที่นี่ จึงเป็นความเพลิดเพลินที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก
ๆ
ผู้ที่ชื่นชอบงานผ้าไหมไทยชั้นดี คงไม่มีใครไม่รู้จักผ้าไหมยกทองโบราณ ผ้าไหมไทยระดับพรีเมี่ยม ที่มีวิธีการทออันเป็นเอกลักษณ์ ภูมิปัญญาที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมานับแต่สมัยโบราณ วัตถุดิบที่เลือกสรรมาล้วนเลอค่า ผ่านการทอที่ประณีต เลื่องลือกันว่าแต่ละวัน ช่างผู้เชี่ยวชาญ ก็ยังคงทอผ้า ได้แค่ความยาว 4 – 5 เซนติเมตร ต่อผืนเท่านั้นที่ใคร ๆ เรียกกันว่า “หมู่บ้านผ้าไหมเอเปค” เพราะทำผ้าทอยกทองลวดลายชั้นสูงแบบราชสำนัก สำหรับตัดเสื้อและทำผ้าคลุมไหล่ให้กับผู้นำและคู่สมรส
เมื่อครั้งไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค เมื่อปี พ.ศ.2546 อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจัดทำผ้าคลุมพระอังสา แด่ราชอาคันตุกะที่เสด็จมาร่วมงานพระราชพิธีมหามงคล เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชสมบัติครบ 60 ปี อีกทั้งยังได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเครื่องแต่งกายในโครงการ “โขนพระราชทานศาสตร์และศิลป์ของแผ่นดิน” เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และล่าสุด คือ การทอผ้าไหมยกทองโบราณลายราชสำนักที่มีความวิจิตรงดงาม สีสันสดใส
สำหรับตัดฉลองพระองค์ชุดไหมของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งทอจากมือด้วยความภักดี ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10
กลุ่มทอผ้าไหมยกทอง “จันทร์โสมา”
ความโดดเด่นของผ้าไหมยกทอง “จันทร์โสมา” เกิดจากการเลือกเส้นไหมน้อยที่เล็กและบางเบานำมาผ่านกรรมวิธีฟอก ต้มแล้วย้อมสีธรรมชาติด้วยแม่สีหลักสามสีคือสีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแลและสีครามจากเมล็ดคราม สอดแทรกการยกดอกด้วยไหมทอง
ที่ทำจากเงินแท้มารีดเป็นเส้นเล็กๆปั่นควบกับเส้น ด้าย ใช้ตะกอเส้นพุ่งพิเศษที่ทำให้เกิดลายจำนวนตะกอมากกว่าร้อยตะกอ จนกระทั่งการวางกี่บนพื้นดินธรรมดามีความสูงไม่พอ ต้องขุดดินบริเวณนั้นให้เป็นหลุมลึกไป 2 – 3 เมตร เพื่อรองรับความยาวของตะกอที่ห้อยลงมาจากกี่ให้เป็นระเบียบ ให้คนสามารถอยู่ในหลุมเพื่อสอดตะกอไม้ได้ด้วย เนื่องจากไม้ตะกอมีจำนวนมาก จึงต้องใช้คนทอถึง 4 – 5 คน คือจะมีคนช่วยยกตะกอ 2 – 3 คน คนสอดไม้ 1 คนและคนทออีก 1 คน และความซับซ้อนทางด้านเทคนิคการทอ จะได้ผลงานเพียงวันละ 4 – 5 เซนติเมตรเท่านั้น และเนื่องจากไม้ตะกอมีจำนวนมาก จึงต้องใช้คนทอถึง 4 – 5 คนต่อผืน โดยแบ่งงานกัน คือ จะมีคนช่วยยกตะกอ 2 – 3 คน คนสอดไม้ 1 คน และคนทออีก 1 คน ซึ่งทุกขั้นต้องเป็นไปตามลำดับตะกอที่เก็บลายไว้ ผิดไม่ได้แม้แต่เส้นเดียว ถ้าพลาดคือเสียทั้งผืน ด้วยความซับซ้อนด้านเทคนิคการทอเหล่านี้ ต่อวันจะทอได้แค่ 5 – 7 เซนติเมตรเท่านั้น ต่อผืนที่มีความยาว 2 เมตร ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ราคาขายจึงแพงมาก โดยผืนที่ทอด้วย 700 – 800 ตะกอ ราคาขายเมตรละ 30,000 กว่าบาท และผืนที่ทอด้วยจำนวนพันกว่าตะกอ ราคาอยู่ที่เมตรละ 150,000 – 200,000 บาท
นอกจากนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมการทอผ้าไหมด้วยกี่โบราณ จะได้ชมกรรมวิธีการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติ และวิธีการถักทอลวดลายไทยอันแสนงดงาม ณ กลุ่มทอผ้ายกทองโบราณ “จันทร์โสมา” แล้ว บ้านท่าสว่างยังมีแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ฝีมือชาวบ้านสไตล์ OTOP ที่ตลาดชุมชน ซึ่งนำเสนอสารพันงานทอผ้าไหม ตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากผ้าไหมคุณภาพดีมากมาย นับว่าบ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติไม่ควรพลาดโอกาสในการเช้ามาเยี่ยมชมเลยทีเดียว
ครูศิลป์แห่งแผ่นดิน (อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย)
ประวัติโดยย่อผลงาน อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย
อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย สำเร็จการศึกษาด้านศิลปะประจำชาติจากสถาบัน เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเพาะช่าง ซึมซับงานช่างทอผ้าไหมพื้นบ้านมาแต่วัยเด็ก และสนใจศึกษาทำความเข้าใจในกระบวนการผลิตอย่างทะลุปรุโปร่ง นอกจากนี้ยังสนใจศึกษาลวดลายไทยซึ่งได้เรียนรู้จากอาจารย์ในสถาบันการศึกษา
และผ่านประสบการณ์จากการคลุกคลีเรียนรู้ ได้รับการถ่ายทอดจากครูช่างโบราณหลายแขนง จึงมีความชำนาญในเทคนิคงานในงานศิลปกรรมไทยด้าน
ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานในรูปแบบราชสำนักโบราณ
ในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ อาจารย์ได้นำความรู้ด้านจิตรกรรมไทยที่ได้ศึกษา นำมาออกแบบลวดลายชั้นสูงแบบราชสำนักไทย ผสมผสานกับเทคนิคการทอผ้าแบบพื้นเมืองที่ภูมิลำเนา บ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ โดยได้พัฒนาปรับปรุงเทคนิคต่าง
ๆ บนพื้นฐานความรู้ความสามารถและภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษ รวบรวมช่างทออาวุโสในหมู่บ้านมาร่วม รื้อฟื้นภูมิปัญญาการทอผ้าแบบทอมือ และการย้อมไหมด้วยสีจากวัสดุธรรมชาติ จนเกิดเป็นเทคนิคการทอผ้าไหมยกทองในแนวทางที่ อ.วีรธรรมคิดค้นขึ้นอย่างเป็นเอกลักษณ์ซึ่งต้องใช้แรงงานช่างทอถึง ๔ คน ต่อ ๑ กี่ แต่สามารถรองรับตะกอลายให้ได้มากกว่าสองพันตะกอ ทำให้สามารถทอผ่าที่มีลวดลายประณีตซับซ้อนได้อย่างไม่จำกัด จึงเป็นที่มาของ “กลุ่มทอผ้าไหมยกทองจันทร์โสมา”
ณ บ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์
จังหวัดสุรินทร์
ผลงานสำคัญ
– ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ออกแบบและจัดสร้างผ้าสำหรับตัดเสื้อผู้นำเขตเศรษฐกิจ เอเชีย – แปซิฟิก (APEC) จำนวน ๒๑ ผืน และผ้าคลุมไหล่สำหรับคู่สมรส
– ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ จัดสร้างผ้าคลุมพระอังสาให้กับรัฐบาลเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเป็นที่ของระลึกแด่พระราชอาคันตุกะฝ่ายหญิงเนื่องในพระราชพิธีทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ ๖๐ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙
– ได้รับเชิญเป็นคณะกรรมการ และเป็นผู้ออกแบบจัดสร้างภูษาพัสตราภรณ์ และเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ สำหรับแสดงโขนพระราชทานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ
รางวัลที่เคยได้รับ
- การออกแบบและจัดสร้างเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับในการแสดงละครรับพระ
ราชอาคันตุกะสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธพระบรมราชินีนาถแห่งประเทศอังกฤษ ณ วัดไชยวัฒนารามจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๒) รางวัลศิลปินอีสานปี ๒๕๔๖ ได้รับจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม
๓) รางวัลช่างผู้สืบสานหัตถกรรมผ้าไทยปี๒๕๔๗ ได้รับจากกระทรวงอุตสาหกรรม
๔) รางวัลยอดเยี่ยมกลุ่มอนุรักษ์หัตถกรรมงาน OTOP-SMEs-BOI:MADE IN THAILAND ปี ๒๕๔๗ จากกระทรวงอุตสาหกรรม
๕) รางวัลพระธาตุนาดูนทองคำ ปี ๒๕๔๗ จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรจน์ มหาสารคาม
๖) รางวัลคนดีศรีเมืองช้าง ปี ๒๕๔๗ จากจังหวัดสุรินทร์
๗) ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
๘) บุคคลเกียรติยศผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่นประจำปี 2550 จากกระทรวงมหาดไทย
๙) ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอิสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ๒๕๕๑
๑๐) รางวัลบุคคลดีเด่นของชาติสาขาเผยแพร่เกียรติภูมิของไทยประจำปีพุทธศักราช ๒๕๕๑
๑๑) ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ครูศิลป์แผ่นดิน จากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)
หมู่บ้านทอผ้าไหมบ้านท่าสว่าง หมู่ที่ 1 ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
หมู่บ้านทอผ้าไหมบ้านท่าสว่าง หมู่ที่ 1 ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์