พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีแนวพระราชดำริเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง (Self - Subficiency Economy) ซึ่งมีฐานมาจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ที่สอนในเรื่องการพึ่งตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน เศรษฐกิจพอเพียงสอนเรื่องการพึ่งตนเอง สภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันเป็นเพราะไม่รู้จักพอเพียง
พุทธธรรมกับเศรษฐกิจพอเพียง
พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทจัดเป็นภูมิปัญญาตะวันออก ตอนนี้โลกตะวันตกกำลังสับสน เกิดความอับจนในเรื่องภูมิปัญญา มีปัญหาเศรษฐกิจ เศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกากำลังชะลอตัว เศรษฐกิจของโลกก็ซบเซาตามที่เป็นเช่นนี้ เพราะคิดแบบวัตถุนิยม หรือบริโภคนิยม แต่ละประเทศผลิตสินค้าเพื่อกระตุ้นตัณหา ไม่มีคำว่าพอเพียงในระบบทุนเศรษฐกิจนิยม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีแนวพระราชดำริเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง (Self - Subficiency Economy) ซึ่งมีฐานมาจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ที่สอนในเรื่องการพึ่งตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน เศรษฐกิจพอเพียงสอนเรื่องการพึ่งตนเอง สภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันเป็นเพราะไม่รู้จักพอเพียง คือ
- ไม่รู้จักพึ่งตนเอง ไปกู้เงินต่างประเทศมากเกินไป
- ไม่รู้จักคำว่าพอใจตามมี ยินดีตามได้ คือไม่สันโดษ ตามหลักพระพุทธศาสนา
- ไม่รู้จักคำว่าพอดี คือ มัตตัญญุตา หรือทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา
เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมีฐานมาจากภูมิปัญญา ทางพุทธศาสนาคือ
- เรื่อง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ การพึ่งตนเอง พยายามใช้ทรัพยากรในประเทศของเราเอง
- รู้จักคำว่าพอเพียง คือ พอใจตามมี ยินดีตามได้ ตามหลักสันโดษ
- รู้จักคำว่าพอดี มัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง โดยให้มีความสุขกาย และสุขใจไปด้วยกัน
หลักธรรมดังกล่าวนี้มีอยู่ในเศรษฐกิจพอเพียง ชาวพุทธต้องช่วยขยายแนวพระราชดำรินี้ไปทั่วโลก ให้เป็นภูมิปัญญาของโลก สามารถส่งออกทางความคิด เป็นทรัพย์สินทางปัญญาไปช่วยชาวโลกได้
เมื่อไปดูภูมิปัญญาชาวตะวันตก ไอสไตน์ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าจะมีศาสนาของโลกที่สอดคล้องกับจิตวิญญาณทางวิทยาศาสตร์ ไม่พูดเรื่องพระเจ้าให้นักวิทยาศาสตร์เสียความรู้สึก พูดถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และพัฒนาการทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ถ้ามีศาสนาเช่นนั้น นักวิทยาศาสตร์จะยอมรับได้ทั่วโลกและถูกใจนักวิทยาศาสตร์ ไอสไตน์พิจารณาเห็นว่าศาสนาที่ว่านั้นคือพระพุทธศาสนา
หลักธรรมส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง
“ทิฏฐธัมมิกัตถะ” เป็นข้อปฎิบัติสำคัญที่ทำให้เกิดผล คือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำให้มีทรัพย์สินเงินทองพึ่งตนเองได้ เรียกว่า ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ปัจจุบัน บางที่เรียกว่า
“หัวใจเศรษฐี”โดยมีคำย่อคือ “อุ” “อา” “กะ” “สะ”
๑.อุ = อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น
๒.อา = อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา
๓.กะ = กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็นคนดี
๔.สะ
= สมชีวิตา การเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้
โภคอาทิยะ ๕ เมื่อมีทรัพย์สินควรนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
๑.ใช้จ่ายทรัพย์นั้นเลี้ยงตนเอง เลี้ยงดูครอบครัว มารดา บิดา ให้เป็นสุข
๒.ใช้ทรัพย์นั้นบำรุงเลี้ยงมิตรสหาย ผู้ร่วมกิจการงานให้เป็นสุข
๓.ใช้ป้องกันภยันตรายต่างๆ
๔.ทำพลี คือ การสละบำรุงสงเคราะห์ ๕ อย่าง
ทำพลี คือ การสละบำรุงสงเคราะห์ ๕ อย่างได้แก่
๑.อติถิพลี ใช้ต้อนรับแขก คนที่ไปมาหาสู่ เป็นเรื่องของการปฏิสันถาร
๒.ญาติพลี ใช้สงเคราะห์ญาติ
๓.ราชพลี ใช้บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากรเป็นต้น
๔.เทวตาพลี บำรุงเทวดา คือ สิ่งที่เคารพนับถือตามลัทธิความเชื่อหรือตามขนบธรรมเนียมของสังคม
๕.ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้แก่บุพพการี ท่านที่ล่วงลับไปแล้วเป็นการแสดงการกตัญญูรู้คุณ
โภคอาทิยะ ๕ เมื่อมีทรัพย์สินควรนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
๑.ใช้จ่ายทรัพย์นั้นเลี้ยงตนเอง เลี้ยงดูครอบครัว มารดาบิดา ให้เป็นสุข
๒.ใช้ทรัพย์นั้นบำรุงเลี้ยงมิตรสหาย ผู้ร่วมกิจการงานให้เป็นสุข
๓.ใช้ป้องกันภยันตรายต่างๆ
๔.ทำพลี คือ การสละบำรุงสงเคราะห์ ๕ อย่าง
๕.บำรุงสมณพรามณ์ คือ พระสงฆ์ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ฝึกฝนพัฒนาตนเอง ไม่ประมาทมัวเมา ผู้ที่จะดำรงธรรมไว้ให้แก่สังคม
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างเครือข่ายเรียนรู้ ให้มีการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้เป็นกรอบความคิด เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนไทยในทุกภาคส่วน ตลอดจนสามารถปรับตัวพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆได้อย่างรู้เท่าทัน และนำไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขของประชาชนชาวไทย
หลักการที่นำมาใช้ คือ ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการวางแผนการทำงาน และใช้หลักการมีส่วนร่วมในการสร้างความตระหนักและร่วมกันแก้ไขปัญหา
หลักธรรมที่นำมาใช้ คือ สัปปุริสธรรม ๗ และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
๑) สัปปุริสธรรม ๗ คือ ธรรมของคนดี ธรรมของสัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดี
ได้แก่ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน รู้บุคคล
- รู้เหตุ คือ รู้หลักความจริง รู้หลักการ รู้หลักเกณฑ์ รู้จักพิจารณาหาต้นตอของสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง เพื่อลงมือแก้ไขให้ถูกตามเหตุนั้น เช่น ปัญหาห้องน้ำของร.ร.มีกลิ่นรบกวน เกิดจากสาเหตุหลักคือ สภาพของบ่อเกรอะที่ใช้งานมานาน การไม่ช่วยกันรักษาความสะอาดหลังการใช้ห้องน้ำ เป็นต้น
- รู้ผล คือ รู้จักผลที่จะเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการกระทำ จึงต้องเลือกวิธีการปฏิบัติให้เกิดผลของการเปลี่ยนแปลง เช่น การรณรงค์ให้เพื่อนนักเรียนในโรงเรียนมีส่วนร่วมในการรักษาความสะอาดห้องน้ำหลังการใช้ การทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้ราดและล้างห้องน้ำเพื่อดับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
- รู้ตน คือ รู้ภาวะ รู้ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรมแล้วประพฤติให้เหมาะสมและรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุงต่อไป ใช้หลักธรรมนี้สอนให้นักเรียนเตือนตนเองในสิ่งที่จะกระทำ ว่าเรามีความรู้เพียงพอหรือไม่กับสิ่งที่จะทำ ถ้ายังรู้ไม่พอ จะหาความรู้เพิ่มเติมได้จากใคร อย่างไร และการจะทำงานให้สำเร็จนั้นต้องอาศัยคุณธรรมอะไรบ้าง
- รู้ประมาณ คือ ความพอดี เป็นการรู้จักประมาณในการใช้สิ่งต่าง ๆ เช่น การใช้เวลาสำหรับการเรียนและการทำกิจกรรม การใช้เงินงบประมาณที่ได้รับมาให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ามากที่สุด โดยคำนึงถึงหลักเหตุผลในการตัดสินใจ
- รู้จักกาล คือ รู้กาลเวลาอันเหมาะสม และระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ กระทำหน้าที่การงาน เช่น ให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้พอเวลา ให้เหมาะเวลา ใช้หลักธรรมนี้เตือนนักเรียนให้กลับบ้านตรงเวลา เล่นให้เหมาะสมกับเวลา ทำงานให้ทันเวลา
- รู้ชุมชน คือ รู้ที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้นๆ ว่า ชุมชนนี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทำกิริยา จะต้องช่วยเหลืออย่างไร ใช้หลักธรรมข้อนี้กระตุ้นนักเรียนให้รู้ว่าควรช่วยเหลืองานอะไรในชุมชนบ้าง
- รู้บุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม และรู้ที่จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นๆ ด้วยดี รู้ว่าควรเมื่อจะต้องประสานงานกับใคร ขอความร่วมมือจากใคร ต้องใช้คำพูดและวิธีการอย่างไร จึงได้ได้การมีส่วนร่วมของบุคคลหลายๆ ฝ่าย เพื่อให้งานสำเร็จ
๒) แนวพระราชดำริหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
หลักปรัชญาความพอเพียงเป็นหลักคิด และหลักปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิต เพื่อนำไปสู่ความ
พอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวการดำรงอยู่ของคนไทย สังคมไทย เพื่อให้ก้าวทันยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งประกอบด้วยหลัก ๓ ห่วง และ ๒
เงื่อนไข ได้แก่
(๑) หลักความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ความพอประมาณด้านการใช้เวลา ใช้หลักธรรมนี้เตือนใจนักเรียนให้รู้จัก แบ่งเวลาในการเล่น การเรียน การทำงานในหน้าที่
(๒) หลักความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไป
อย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ เช่น การตัดสินใจเลือกใช้วิธีการทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อดับกลิ่นรบกวนของห้องน้ำ ต้องให้หลักเหตุผลตามหลักวิชา ในการเลือกสูตรการทำน้ำหมักให้เหมาะกับคุณสมบัติเรื่องการดับกลิ่นห้องน้ำและคราบสกปรกต่างๆ ในห้องน้ำ จึงใช้มะกรูด มะนาว และมะปรี๊ด เป็นส่วนประกอบสำคัญ
(๓) หลักการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง ความมีสติ ไม่ประมาท การใช้ปัญญาในการเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยน แปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ใช้หลักธรรมนี้เตือนใจนักเรียนให้รู้จักสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเองในการวางแผนการทำงาน เช่น การเลือกบริเวณที่ตั้งถังน้ำหมักชีวภาพในบริเวณที่น้ำท่วมไม่ถึง เนื่องจากเราใช้ถังน้ำหมักขนาด ๒๐๐ ลิตร จำนวน ๒ ถัง ซึ่งเคลื่อนย้ายลำบาก จึงต้องเลือกตั้งไว้ในบริเวณที่สูง เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากพื้นที่ของโรงเรียนเป็นที่ราบลุ่มต่ำ การสร้างทีมเยาวชนจิตอาสาชีวภาพดับกลิ่นให้ประกอบด้วยนักเรียนทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย เพื่อการดำเนินงานต่อไปในอนาคต จะได้มีการส่งต่องานระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง เพื่อความยั่งยืนในการดำเนินงาน
(๔) เงื่อนไขความรู้ คือ ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
ใช้เงื่อนไขความรู้เป็นตัวนำในการตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ไขปัญหา
ว่าควรใช้น้ำหมักชีวภาพสูตรใดจึงจะเหมาะสมกับเวลาและสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นมากที่สุด
(๕) เงื่อนไขคุณธรรม คือ มีความตระหนักในคุณธรรม มีความอดทน มีความเพียรใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ใช้เงื่อนไขนี้เตือนนักเรียนให้อดทนเพียรพยายามทำงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบ รู้จักใช้สติปัญญาในการคิดก่อนตัดสินใจก่อนทำกิจกรรมต่าง ๆ
๔.๔ ประเมินผลการดำเนินงาน
ผลการดำเนินงานบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของโครงงาน ดังนี้
๑. ห้องน้ำไม่มีกลิ่นรบกวน
๒. นักเรียนแกนนำจิตอาสาและครูที่ปรึกษามีความรู้และทักษะเกี่ยวกับการทำน้ำหมักชีวภาพ
๓. นักเรียนโรงเรียนลาซาลจันทบุรี (มารดาพิทักษ์) เกิดจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาความสะอาดของห้องน้ำภายในโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น
๔. สามารถพัฒนา “การทำน้ำหมักชีวภาพ” เป็นฐานการเรียนรู้บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ความรู้แก่คณะผู้มาศึกษาดูงานการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา
๔.๕ การประเมินตนเอง
ความคิดเห็นและความรู้สึกของประธานกลุ่มเยาวชนผู้รับผิดชอบโครงงาน
“ข้าพเจ้ารู้สึกภูมิใจในตนเองที่มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหากลิ่นของห้องน้ำที่ส่งกลิ่นรบกวนได้ สามารถนำทีมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ห้องน้ำของเพื่อน ๆ และน้องๆ ให้ดีขึ้นได้ และตั้งใจจะดำเนินโครงงานต่อไปเรื่อยๆ อย่างดีที่สุด”จากการที่ได้ทำโครงงานในครั้งนี้ได้เรียนรู้กระบวนการในการแก้ปัญหาต่างๆ และได้รู้จักการทำงานที่เป็นจิตอาสาโดยแท้จริง