“วิทวัส คุตตะเทพ” รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) เปิดเผยความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ “ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์” โฉมใหม่ ขณะนี้ก่อสร้างไปแล้ว 60%คาดว่าจะเริ่มส่งมอบให้กับ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด (NCC) เจ้าของโครงการ ได้ภายในเดือนมีนาคม 2565 เพื่อให้ NCC เริ่มเปิดบริการตามกำหนดเดือนกันยายน 2565
รายละเอียดโครงการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โฉมใหม่ ใหญ่กว่าเดิม 5 เท่า มีดังนี้
- ก่อสร้างเป็นอาคารสูงเหนือพื้นดิน 23 เมตร และชั้นใต้ดินลึก 20 เมตร
- พื้นที่ก่อสร้างอาคาร 300,000 ตร.ม. เทียบเท่าสนามฟุตบอล 50 สนาม
- พื้นที่จัดแสดงกว่า 78,000 ตร.ม. โดยแบ่งเป็นฮอลล์ขนาดใหญ่ 2 ห้อง และมีตติ้งรูมอีก 50 ห้อง
- พื้นที่รีเทล 10,000 ตร.ม. เน้นร้านอาหาร ร้านกาแฟ
- ที่จอดรถใต้ดิน 3,000 คัน
- ทางเชื่อมชั้นใต้ดินเข้ากับสถานีรถไฟฟ้า MRT ศูนย์ฯสิริกิติ์โดยตรง
- รองรับผู้เข้าประชุมได้ 100,000 คนต่อวัน
- มีทางเข้าออกเชื่อมต่อกับสวนเบญจกิตติ
จะเห็นได้ว่าโครงสร้างใหม่ของศูนย์ฯสิริกิติ์ช่วยปิดจุดด้อยของโครงการเดิมซึ่งสร้างมากว่า 30 ปีได้โดยเพิ่มที่จอดรถจาก 600 คันเป็น 3,000 คัน และเป็นที่จอดในร่ม รวมถึงเพิ่มทางเชื่อมใต้ดินเข้ากับสถานีรถไฟฟ้า ทำให้ผู้มาร่วมงานประชุม/นิทรรศการสะดวกสบายขึ้น ไม่ต้องกังวลด้านสภาพภูมิอากาศ และที่จอดรถมีเพียงพอมากขึ้น
วิทวัสยังสรุปไฮไลต์ที่จะทำให้ศูนย์ฯสิริกิติ์ได้มาตรฐานศูนย์ประชุมระดับโลก และเป็นตัวเลือกแข่งขันในระดับนานาชาติกับศูนย์ประชุมอื่นในภูมิภาคนี้ ได้แก่
1.ที่ตั้ง – เป็นศูนย์ประชุมที่ใหญ่สุดในเขตใจกลางเมือง สามารถเดินทางสะดวกทั้งรถไฟฟ้าใต้ดินที่เชื่อมต่อกับ MRT สถานีศูนย์ฯสิริกิติ์ และเข้าออกเชื่อมต่อได้ทั้งถนนรัชดาภิเษก ถนนพระราม 4 และถนนสุขุมวิทได้ โดยมีโรงแรมชั้นนำและศูนย์การค้าใกล้เคียง เพื่อรองรับผู้มาเข้าร่วมประชุมและผู้ติดตาม
2.ความปลอดภัย – โครงการมีการว่าจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศเพื่อออกแบบระบบรักษาความปลอดภัย มี bomb-detectorตรวจรถทุกคันที่เข้ามาในบริเวณ เนื่องจากคำนึงถึงการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทั่วโลก พร้อมระบบกล้องวงจรปิดทั่วศูนย์ประชุมที่สามารถแจ้งเตือน (alert) ได้หากมีบุคคลเข้าไปในบริเวณที่ไม่ได้รับอนุญาต
3.เทคโนโลยี – เดินไฟเบอร์ออพติกครอบคลุมทุกพื้นที่ ใช้ระบบ Wi-Fi ที่รองรับได้ถึง 6G ขยายแบนด์วิธให้สามารถจัดงานถ่ายทอดสดและรองรับผู้เข้าประชุมจำนวนมากได้รวมถึงมีเทคโนโลยีตอบโจทย์การเว้นระยะห่างทางสังคมในอนาคตด้วยฟังก์ชัน Heat Maps ตรวจเช็กความหนาแน่นในแต่ละบริเวณ
4.ความยืดหยุ่น – พร้อมจัดงานอีเวนต์ผสมผสานทั้งออนไลน์และออนกราวนด์ และขยาย Loading Area ที่พร้อมนำโครงสร้างขนาดใหญ่เข้ามาในงานได้
5.ความยั่งยืน – เตรียมเป็นศูนย์ประชุมแห่งแรกในไทยที่ได้มาตรฐาน LEED ระดับ Silverจากการที่ศูนย์ฯ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ เลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานน้ำและไฟฟ้า เลือกระบบแอร์ประสิทธิภาพสูงที่ลดการใช้พลังงาน ใช้วัสดุก่อสร้างที่สามารถรีไซเคิลได้ 70% ฯลฯ
ด้านการฟื้นตัวของธุรกิจไมซ์ วิทวัสกล่าวว่า จากการพูดคุยกับทาง NCC ซึ่งมีพาร์ทเนอร์ธุรกิจอยู่ทั่วโลก มองว่าการประชุมแบบพบหน้ากัน (physical meeting) จะยังเป็นที่ต้องการทั่วโลก
“ยกตัวอย่างล่าสุด การประชุม COP26 ที่สกอตแลนด์ ผู้นำประเทศทั่วโลกต่างตอบรับเข้าร่วม และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ของเราก็เพิ่งจะรับมอบการจัดงาน APEC 2022 เห็นได้ว่าการประชุมนานาชาติจะยังเกิดขึ้น” วิทวัสกล่าว ทั้งนี้ สำหรับศูนย์ฯสิริกิติ์ มีงานประชุมงานแรกที่จองเข้ามาแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 คือตั้งแต่เดือนแรกที่เปิดบริการ
- “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ฯ” พลิกโฉมตึกหัวมุมถ.สีลม-พระราม 4 ปั้นมิกซ์ยูส “สีลมเอจ” เป็น “แซนด์บ็อกซ์” ของธุรกิจรุ่นใหม่
ศูนย์ฯสิริกิติ์ โฉมใหม่ ใช้งบลงทุน 15,000 ล้านบาท ก่อสร้างครั้งแรกเมื่อกว่า 30 ปีก่อน เคยจัดงานมาแล้วมากกว่า 20,000 งาน รวมถึงงานระดับนานาชาติหลายงาน เช่น งานประชุมธนาคารโลกปี 1989, งานประกวดมิสยูนิเวิร์ส 1992, งานประชุม APEC 2003 เป็นต้น