สำหรับหลายคนแล้ว คำถามที่ว่า “ควรมีทุนประกันชีวิตเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ?” อาจจะเป็นคำถามที่ตอบไม่ง่ายนัก แต่ก็เป็นคำถามที่เราควรจะ “ทำการบ้าน” มาให้ดีก่อนลงมือทำประกันชีวิต
ในบทความนี้ ผมเลยมี 3 คำถามย่อยๆ ที่จะมาช่วยให้เราคำนวนทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้นครับ
เมื่อคุณจากไป เงินเท่าไหร่ถึงจะ “เพียงพอ” ต่อครอบครัว?
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำประกันชีวิตคือคุณภาพชีวิตของผู้รับผลประโยชน์ หรือคนในครอบของคุณนั่งเอง เพราะฉะนั้น แม้ว่าคุณจะคิดว่าตัวเลขกลมๆ เช่น 1 ล้าน หรือ 10 ล้าน “น่าจะพอ” สำหรับเขา ผมแนะนำว่าให้คุยเรื่องนี้แบบเปิดใจกับพวกเขาเลยดีกว่าครับ ว่าตัวเลขประมาณนี้เพียงพอไหมเมื่อคุณจากไป แน่นอนว่าไม่มีใคร “โอเค” กับการจากไปของคนรักอยู่แล้ว แต่หากเกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝันขึ้นมา คุณจะอุ่นใจได้ที่คุณได้ให้เสียงของพวกเขาเป็นส่วนสำคัญในการคำนวนทุนประกันให้พอกับทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายในอนาคตไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
ทุนประกันชีวิตก้อนนี้ สามารถทำอะไรได้อีกบ้างไหม?
สมมุติว่าเมื่อปรึกษากันแล้วว่า 10 ล้านบาทคือทุนประกันที่น่าจะพอกับรายจ่ายประจำวันและรายจ่ายรายการใหญ่ๆ เช่น สุขภาพหรือการศึกษา แต่เท่านั้นไม่พอ คุณควรคิดเผื่อให้ทุนประกันทำหน้าที่เป็น “กองทุนครอบครัว” ที่จะคอยทำหน้าที่แทนตัวคุณเสมือนว่าคุณยังอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คู่ครองของคุณพร้อมทำหน้าที่บริหารเงินก้อนนั้น ตัวอย่างเช่น ทุนประกัน 10 ล้านบาท หลังจากที่คุณเสียชีวิตหากคู่ครองของคุณสามารถบริหารให้ทุนประกัน 10 ล้านบาทนี้งอกเงยได้ปีละเฉลี่ย 5% มันจะทำให้ครอบครัวคุณมี “เงินใหม่” ที่งอกออกมาจากก้อนทุนประกันนี้ได้เฉลี่ยมากกว่า 5 แสนบาททุกปี ซึ่งหากครอบครัวคุณคาดว่าจะมีรายจ่ายเกิน 5 แสนบาทต่อปีแน่ๆ ทุนประกันที่ 10 ล้านบาทที่คิดว่าพอนี้ ก็อาจไม่เพียงพอนะครับ
ได้คำนวนหนี้สินอย่างครบถ้วนแล้วหรือยัง?
หนี้สินเป็น “รายจ่ายอนาคต” ที่หลายคนมักลืมเวลาคำนวนทุนประกัน รายการหนี้สินที่ควรคำนึงถึงมีตั้งแต่ เงินกู้จากธนาคาร ไม่ว่าจะเพื่อธุรกิจ ผ่อนบ้าน หรือผ่อนรถยนต์ หนี้บัตรเครดิตค้าง หนี้ภาษีอากรค้าง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ควรเป็นส่วนหนึ่งในการคำนวนทุนประกัน เนื่องจากเราไม่ต้องการให้คนข้างหลังต้องมาแบกภาระหนี้สิน โดยเฉพาะในกรณีที่จ่ายไม่ไหวจนอาจถูกยึดบ้านซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของพวกเขา
เชื่อว่าทั้ง 3 คำถามข้างต้นคงพอจะทำให้คุณพอเห็นภาพของการคำนวนทุนประกันชีวิตที่เหมาะกับคุณคร่าวๆ ได้นะครับ เพื่อให้คุณกลับมารีเช็คตัวเองได้ว่าควรต้องเตรียมพร้อมและมองในส่วนไหนบ้างที่จะมีประกันชีวิตที่ “ลงตัวที่สุด” กับตัวคุณและครอบครัวครับ
แท็กที่เกี่ยวข้อง : #ประกันชีวิต #ประกันสุขภาพ #ประกันการออม #ประกันควบการลงทุน #ประกันเกษียณ #ประกันโรคร้ายแรง #ประกันสุขภาพเด็ก #ประกันกลุ่ม
คือการชดเชยรายได้ที่ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากการเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือชราภาพ โดยบริษัทประกันชีวิต (บริษัทฯ) จะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตการทำประกันชีวิตมีประโยชน์หลายประการ เช่น
1. ให้ความคุ้มครอง ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องการเงินหรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของครอบครัว (เช่น หนี้สิน) อันเนื่องมาจากการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย
2. ประกันภัยบางประเภทเป็นการออมทรัพย์ การทำประกันภัยจะเป็นในลักษณะแบบกึ่งบังคับ ให้จ่ายเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอ และหากผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนครบตามที่กรมธรรม์กำหนดไว้ ก็จะได้เงินคืนตามเงื่อนไขของสัญญา ใช้เป็นเครื่องมือออมเงินเพื่อเกษียณ ออมเพื่อทุนการศึกษาของบุตรหลาน
3. ใช้เบี้ยประกันชีวิตมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไปที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท
1. ความรู้เบื้องต้น
ผู้เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันชีวิต ประกอบด้วย 3 ฝ่าย ได้แก่
1. ผู้รับประกันภัย
คือบริษัทประกันชีวิต ซึ่งหมายถึงบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิต เพื่อรับประกันต่อความสูญเสียหรือความเสียหายต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยสัญญาว่าจะจ่ายชดเชยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับผลประโยชน์เมื่อมีการเสียชีวิต และอาจมีความคุ้มครองอื่น ๆ เช่น การประกันอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะ การประกันกรณีทุพพลภาพ หรือการประกันสุขภาพ (ดูรายชื่อบริษัท)
2. ผู้เอาประกันภัย
คือบุคคลที่ตกลงทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทฯ โดยอาศัยสาเหตุของการมีชีวิตหรือการตายเป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินประกันชีวิต
3. ผู้รับประโยชน์
คือบุคคลที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตว่าจะเป็นผู้รับเงินประกันชีวิตตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต
ประเภทของการประกันชีวิต
การประกันชีวิต แยกออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. ประเภทสามัญ (Ordinary Life Insurance)
คือการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูงตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ
2. ประเภทอุตสาหกรรม (Industrial Life Insurance)
คือการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ ตั้งแต่ 10,000 - 30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน และไม่มีการตรวจสุขภาพ ดังนั้น จึงมีระยะเวลารอคอยคือระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อพิสูจน์สุขภาพของผู้เอาประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลารอคอย บริษัทฯ จะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด
3. ประเภทกลุ่ม (Group Life Insurance)
คือการประกันชีวิตบุคคลหลายคนภายใต้กรมธรรม์ฉบับเดียว ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันภัยอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ การประกันชีวิตประเภทนี้ ค่าเบี้ยประกันภัยจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม
เมื่อพิจารณาจากลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์ แบบการประกันชีวิตพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบคือ
01
แบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance)
คือการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยบริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ วัตถุประสงค์เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ หรือใช้สำหรับชำระหนี้ก้อนสุดท้าย
02
แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance)
คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาเอาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ และไม่มีเงินคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่น ๆ
03
แบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)
คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาเอาประกันภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ซึ่งส่วนของการออมทรัพย์คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับเงินคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด
ความแตกต่างระหว่างประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์กับการฝากเงินกับสถาบันการเงิน
ข้อเปรียบเทียบ
เงินฝาก
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
วัตถุประสงค์
การออมทรัพย์คุ้มครองชีวิต (และอื่น ๆ) และออมทรัพย์ผลตอบแทนเมื่อสัญญาสิ้นสุด
เงินฝากและดอกเบี้ย
- กรณีมีชีวิต (เงินจ่ายคืน/เงินปันผล)
- กรณีเสียชีวิต (เงินผลประโยชน์มรณกรรมหรือจำนวนเงินเอาประกันภัย)
ลดหย่อนภาษี
ลดหย่อนภาษีไม่ได้- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
ภาษีจากผลตอบแทน
15% (กรณีเงินฝากออมทรัพย์ ดอกเบี้ย 20,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี)ไม่ต้องเสียภาษีการฝาก/การจ่ายเบี้ยประกันภัย
ไม่ต้องฝากสม่ำเสมอจ่ายเบี้ยประกันภัยแบบชำระครั้งเดียวหรือแบบรายงวดการถอน
ถอนได้ถอนไม่ได้ แต่ต้องยกเลิกกรมธรรม์ (การเวนคืนกรมธรรม์) แต่จะได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวนตามเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายชำระไปแล้วสภาพคล่อง
สูง สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายต่ำ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เมื่อกรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืน แต่จะได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวนตามเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายชำระไปแล้วความคุ้มครอง
ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากตามที่กฎหมายกำหนดไม่ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันประกันคุ้มครองเงินฝาก04
แบบบำนาญ (Annuities Insurance)
คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือนหรือทุกปี นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป สำหรับกำหนดเวลาการเริ่มจ่ายเงินบำนาญและระยะเวลาการจ่ายเงินบำนาญขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ ซึ่งผู้เอาประกันภัยควรพิจารณาเลือกแบบบำนาญให้ตรงกับแผนการใช้เงินในอนาคตของตน
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์แตกต่างกับการฝากเงินกับสถาบันเงินในเรื่องการถอนเงิน เนื่องจากการออมด้วยการซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ไม่สามารถถอนเงินได้เหมือนการฝากเงินได้ แต่ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์สามารถเวนคืนกรมธรรม์ได้ ซึ่งมูลค่าเวนคืนตามกรมธรรม์ที่ได้จะถูกหักค่าธรรมเนียมในการเวนคืน
2. การพิจารณารูปแบบประกันชีวิต
ก่อนจะทำประกันชีวิต ผู้บริโภคต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิต ระยะเวลาคุ้มครอง จำนวนเงินเอาประกันภัย และความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัยก่อน เช่น
ความต้องการ
แบบประกันภัยที่เหมาะสม
- คุ้มครองการเสียชีวิต
- ความคุ้มครองระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5 10 15 หรือ 20 ปี
- ไม่มีเงินคืน
- เบี้ยประกันภัยต่ำที่สุด
- คุ้มครองการเสียชีวิตพร้อมกับการสะสมทรัพย์
- ความคุ้มครองระยะยาว เช่น 10 หรือ 20 ปี
- มีเงินคืนหรือเงินปันผล
- เบี้ยประกันภัยสูง
- คุ้มครองการเสียชีวิต
- ความคุ้มครองแบบตลอดชีพ เช่น คุ้มครองถึงอายุ 90 ปี 99 ปี
- เบี้ยประกันภัยค่อนข้างต่ำ
- มีเงินคืน
- คุ้มครองการมีชีวิตยืนยาว
- มีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ
- มีเงินคืนเมื่อเกษียณอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี
- เบี้ยประกันภัยสูง
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ช่วงชีวิตก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้เอาประกันภัยควรนำมาพิจารณาด้วย เช่น
ช่วงเริ่มต้นทำงาน : ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
ช่วงสร้างครอบครัว เริ่มมีบุตร มีการผ่อนรถ/บ้าน ค่าเล่าเรียนบุตร : ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
ก่อนเกษียณ : ประกันชีวิตแบบบำนาญ
3. คำแนะนำในการเลือกและทำสัญญาประกันชีวิต มีดังนี้
1. ติดต่อบริษัทฯ โดยตรงหรือผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต2. ศึกษาแบบประกันชีวิตต่าง ๆ เพื่อเลือกแบบประกันชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ โดยพิจารณาจากความเสี่ยงของตนเอง3. เลือกวงเงินเอาประกันภัยที่ต้องการและเหมาะสม โดยควรคำนึงถึงรายได้ประจำที่ได้รับ และความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัย 4. กรอกรายละเอียดในแบบคำขอเอาประกันชีวิต โดยแถลงความจริงทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติการรักษาพยาบาลและคำแถลงเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะการปิดบังในสาระสำคัญเหล่านี้จะเป็นเหตุให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์
5. ตรวจสอบความถูกต้องก่อนลงชื่อในแบบคำขอ และเมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว ควรตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง หากพบข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เช่น ชื่อผู้รับประโยชน์หรือชื่อผู้เอาประกันภัยผิดพลาด ให้ทักท้วงบริษัทฯ เพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง
6. จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตตามกำหนด และเก็บใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง และถ้าจ่ายเบี้ยประกันชีวิตผ่านตัวแทน ต้องเรียกใบเสร็จรับเงินชั่วคราวเสมอ
7. แจ้งให้ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ หรือบุคคลในครอบครัวทราบถึงการทำประกันชีวิต และสถานที่เก็บกรมธรรม์
8. เก็บรักษากรมธรรม์ให้ดี ถ้าหายต้องไปแจ้งความและขอทำใหม่ ซึ่งจะถูกเก็บค่าธรรมเนียมด้วย
4. การชำระเบี้ยประกันชีวิต
ประเภทการชำระเบี้ยประกันชีวิต ได้แก่
1. ชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียว (single premium)2. ชำระเบี้ยประกันภัยรายงวด (level premium) ซึ่งระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยอาจสั้นกว่าระยะเวลาความคุ้มครอง เช่น ระยะเวลาความคุ้มครอง 10 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 5 ปี และสามารถกำหนดงวดการจ่ายเป็นรายปี ราย 6 เดือน ราย 3 เดือนหรือรายเดือนก็ได้ปัจจัยในการคำนวณเบี้ยประกันชีวิต จะพิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ประการคือ
- 1. อัตรามรณะ คืออัตราเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย แยกตามเพศ อายุ
2. อัตราดอกเบี้ย ที่บริษัทฯ กำหนดใช้ในการคำนวณเบี้ยประกันชีวิต
3. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
เมื่อถึงกำหนดชำระเบี้ยประกันชีวิต ผู้เอาประกันชีวิตมีสิทธิที่จะได้รับการผ่อนผันการชำระเบี้ยประกันได้ โดยการยืดระยะเวลาได้ประมาณ 30 หรือ 60 วัน แล้วแต่เงื่อนไขของกรมธรรม์นั้น
- 5. เงื่อนไขการยกเลิกกรมธรรม์ก่อนกำหนด
ผู้เอาประกันภัยสามารถบอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้ ดังนี้
- 1. กรณีบอกเลิกสัญญาภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์ (free look period) ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเบี้ยประกันภัยคืนตามที่จ่ายจริง หักด้วยค่าธรรมเนียม 500 บาท และค่าตรวจสุขภาพ (ถ้ามี) ถ้าเป็นการขายผ่านทางโทรศัพท์ สามารถยกเลิกได้ภายใน 30 วัน ผู้เอาประกันจะได้รับเบี้ยประกันภัยคืนเต็มจำนวน2. กรณีบอกเลิกสัญญาหลังจากเกินระยะเวลา free look period และกรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์แล้ว ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ (มูลค่าเวนคืนกรมธรรม์) ซึ่งมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์คำนวณมาจากเบี้ยประกันภัยหักด้วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของบริษัทฯ โดยในช่วงปีแรก ๆ มูลค่าเวนคืนกรมธรรม์จะมีค่าน้อยเพราะค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ที่นำมาหักจากเบี้ยประกันภัยมีจำนวนสูง อนึ่ง กรมธรรม์บางแบบอาจจะยังไม่มีมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ในช่วงสิ้นปีที่ 1ทั้งนี้ หากผู้เอาประกันภัยถูกชักจูงให้ซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตด้วยความเข้าใจผิด ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิขอยกเลิกสัญญาและได้รับเบี้ยประกันภัยคืนตามเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น นอกจากนี้ กรณีที่ผู้เอาประกันภัยประสบปัญหาทางด้านการเงินแต่ยังประสงค์จะได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันชีวิต สามารถปฏิบัติได้ดังนี้
1. เลือกชำระเบี้ยประกันภัยลดลง : ทำได้ 2 วิธีคือ
(1) ลดจำนวนเงินเอาประกันภัยลง โดยกรมธรรม์ยังคงให้ความคุ้มครองตามการประกันชีวิตแบบเดิม หรือ
2. เลือกหยุดชำระเบี้ยประกันภัย : ทำได้ 2 วิธีคือ (1) เปลี่ยนกรมธรรม์เป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ โดยการลดจำนวนเงินเอาประกันภัยลงแต่กรมธรรม์ยังคงมีผลคุ้มครองต่อไปจนกว่าสัญญาจะครบกำหนด หรือ
(2) ยกเลิกสัญญาเพิ่มเติม
(2) แปลงกรมธรรม์เป็นการประกันภัยแบบขยายเวลา โดยจำนวนเงินเอาประกันภัยจะยังคงมีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินเอาประกันภัยเดิม แต่ระยะเวลาคุ้มครองลดลง6. วิธีรับเงินครบกำหนด หรือค่าสินไหมทดแทน หรือการเคลมประกัน
ในการขอรับเงินผลประโยชน์ตามกรมธรรม์หรือการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ให้ดำเนินการดังนี้
1. ติดต่อกับบริษัทฯ ให้เร็วที่สุด
2. กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ต้องแจ้งบริษัทฯ ภายใน 14 วัน และเตรียมหลักฐานคือกรมธรรม์ประกันชีวิต (ถ้าหายให้แจ้งความ แล้วใช้สำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายไปแสดงแทน) ใบเสร็จรับเงินงวดสุดท้าย ใบมรณบัตรของผู้เอาประกันภัย ทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนของผู้รับประโยชน์ ทั้งนี้ การเสียชีวิตโดยฆ่าตัวตายใช้หลักฐานเพิ่มเติมคือสำเนาบันทึกประจำวันรับแจ้งเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และใบชันสูตรพลิกศพ ส่วนการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุใช้หลักฐานเพิ่มเติมคือสำเนาบันทึกประจำวันรับแจ้งเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใบชันสูตรพลิกศพ และสำเนาบันทึกประจำวันหลังกลับจากสถานที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
3. กรณีเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ทุพพลภาพ และสูญเสียอวัยวะ ต้องแจ้งบริษัทฯ ภายใน 10 วันและเตรียมหลักฐานคือแบบฟอร์มใบเรียกร้องค่าทดแทน ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลที่ระบุวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายในการรักษาตัวในโรงพยาบาล หลักฐานอื่น ๆ เช่น ฟิล์มเอกซเรย์
4. กรณีกรมธรรม์ครบกำหนด ต้องติดต่อบริษัทฯ และเตรียมหลักฐานคือกรมธรรม์ประกันชีวิต และบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย โดยบริษัทฯ อาจจ่ายเงินเป็นเช็ค หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้เอาประกันภัย หรือจ่ายเป็นเงินสด
7. การยกเว้นการจ่ายเงินเอาประกันภัย
บริษัทฯ ยกเว้นการจ่ายเงินเอาประกันภัยจากสาเหตุการตายดังนี้