นวัตกรรม ช่วยอำนวยความสะดวก

เรากำลังอยู่ในยุคของ Digital อย่างแท้จริง เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์กันมากขึ้น และมีการพัฒนาระบบต่าง ๆ ที่มาช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของเรามากขึ้น ด้วยนวัตกรรมมากมายที่จะเข้ามามีบทบาทต่อเรา จนอาจเปลี่ยนชีวิตของเราไปอย่างสิ้นเชิง วันนี้เราจะไปดูนวัตกรรมที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันที่มีอิทธิพลอย่างมากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา กับ 7 นวัตกรรม ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง

1.Blockchain

เป็นเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลออนไลน์ และมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ สามารถทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว Blockchain ไม่ได้อยู่เพียงแค่การทำธุรกรรมทางการเงินเท่านั้น แต่ธุรกิจต่าง ๆ เริ่มมีการพัฒนา Blockchain ให้เข้ามาช่วยส่งเสริมธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การนำ Blockchain มาใช้ เรียกได้ว่าเป็นการทำ Digital Transformation ที่ไม่ต้องผ่านคนกลางในการทำธุรกรรม เพื่อลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกง และยังมีการคาดการณ์ว่าในอนาคต Blockchain จะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย

2.Cryptocurrency

คือสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกเข้ารหัสเพื่อใช้ในการป้องกัน ถือว่าเป็นทรัพย์สินดิจิทัลที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนบนโลกออนไลน์ ในโลกดิจิทัลยังมีสกุลเงินใน Cryptocurrency อีกนับร้อยสกุล ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนและน่าจะเติบโตขึ้นอย่างมากในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป

3.Affective AI

คือเทคโนโลยีที่มุ่งเป้าให้คอมพิวเตอร์เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก และนิสัยโดยอัตโนมัติ ผ่านการสื่อสารทุกรูปแบบ ในแง่ของการช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก และเพิ่มความแม่นยำในการทำงานด้านต่าง ๆ แถมยังลดแรงงานและทรัพยากรมนุษย์ AI ยังมีข้อจำกัดที่ไม่อาจเรียนรู้อารมณ์ความรู้สึกแบบมนุษย์ได้ แต่ AI รุ่นใหม่ ๆ จะสามารถเรียนรู้อารมณ์ของเราได้จนอาจถึงขั้นออกแบบบริการให้เหมาะสมกับอารมณ์ของผู้ใช้งานได้เลยทีเดียว

4.Smart Homes

ระบบบ้านอัจฉริยะ คือการที่เราสามารถควบคุมระบบไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องใช้หรือระบบรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ภายในบ้านผ่าน Smartphone ที่สามารถส่งสัญญาณผ่านอินเทอร์เน็ตได้ มีการแจ้งเตือนระยะไกล ให้เรารับรู้สถานะตลอดเวลาไม่ว่าเรากำลังอยู่ที่ใดบนโลกนี้หรือสร้างการทำงานอัตโนมัติตามสถานะการณ์ได้ จากเมื่อก่อนที่ต้องจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือแม่บ้านคอยดูแลบ้าน มาทำ Digital Transformation โดยนำเทคโนโลยี Smart Homes เข้ามาควบคุมระบบต่าง ๆ ภายsในบ้าน ให้เราสามารถรับรู้ได้แบบ Real Time ช่วยให้การอยู่อาศัยและการดูแลบ้านนั้นมีความสะดวกสะบาย ทันสมัย มีความปลอดภัย และประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น

5.5G

Generation ใหม่ของเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายที่จะมาแทนที่ระบบ 4G ที่เรากำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน 4G ที่เราว่าแรงแล้ว 5G จะทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นขั้นกว่าในทุก ๆ ด้าน ซึ่งไม่จำกัดแค่ในมือถือเท่านั้น แต่รวมถึงอุปกรณ์ที่เชื่อมอินเตอร์เน็ตได้ทุกชนิด ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อจำนวนมาก หรือนำไปใช้ในระบบบ้านอัจฉริยะก็สามารถทำได้ค่ะ

6.AI Cloud Services

คือ การจัดการคลังข้อมูลบนคลาวด์ด้วย AI สำหรับหลาย ๆ บริษัทที่ใช้บริการเช่าพื้นที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ แต่ต่อไปนี้จะมีการนำ AI เข้ามาจัดการกับข้อมูลเหล่านั้นไปด้วย รวมถึงการพัฒนาศักยภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูลที่จะไปได้ไกลกว่าพวก Chatbot หรือผู้ช่วยดิจิทัลอย่างแน่นอน

7.Mega-Constellations of Satellites

ดาวเทียมจำนวนมหาศาล อีกสิ่งหนึ่งที่เราน่าจะได้เห็นกันในอีกไม่นาน คือการพัฒนาด้านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่ทรงประสิทธิภาพจนน่าทึ่ง เพราะตอนนี้ Space X มีแผนส่งดาวเทียม 42,000 ตัวไปสร้างโครงข่ายดังกล่าว นอกจากนี้ทาง Amazon ก็เพิ่งประกาศการทำ Low-orbit satellites หรือดาวเทียมที่โคจรในระดับต่ำ ๆ อีก 3,236 ตัว ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน คือการทำให้มนุษย์ใช้อินเทอร์เน็ตได้เร็ว แรง และเสถียร ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

โลกในยุค Digital Transformation มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน ได้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ซึ่งมีผลต่อมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งปัจจุบันและอนาคตที่จะเกิดขึ้น ด้วยมนุษย์มีการคิดที่ไม่สิ้นสุด เราควรปรับตัวและเรียนรู้การเปลี่ยนแปลง ให้มีความเหมาะสม การทำ Digital Transformation ไม่ใช่แค่ระดับองค์กรหรือธุรกิจเพียงเท่านั้น บุคคลทั่วไปก็สามารถทำ Digital Transformation ได้ ยกตัวอย่าง การใช้ Email ในการส่งเอกสาร แทนการส่งเอกสารผ่านไปรษณีย์ ช่วยลดการใช้กระดาษที่เป็นการทำร้ายโลก

อ้างอิง : //www.blockdit.com/posts/5ff815a673f8b30edd0ec81b?fbclid=IwAR2yD2PGgHXvSNVKQ7zLLq1GRNLxCavOqu2KPU1earVSvrJ5WPUmbGszxbA

แม้เราจะอยู่ในยุค 4.0 ที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย แต่ในอีกแง่มุม ยังมีคนจำนวนมากที่ถูกมองข้ามโดยไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควรจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หนึ่งในนั้นก็คือ ผู้พิการทางสายตา

แต่ใช่ว่าจะไม่มีใครมองเห็นช่องว่างดังกล่าวซะทีเดียว

และนี่คือ 5 นวัตกรรมชั้นยอดที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายขึ้น

Feel the View : กระจกอัจฉริยะจาก Ford

การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเครื่องยนต์ที่แรง หรือประหยัดน้ำมันเสมอไป

ประสบการณ์ของผู้ขับหรือผู้โดยสารก็สำคัญไม่แพ้กัน

แต่น้อยครั้งที่จะมีผู้ผลิตรายไหนคิดไกลถึงผู้พิการทางสายตา ได้อย่าง Ford

ที่มาพร้อมกับไอเดียช่วยเหลือให้คนกลุ่มนี้ได้มีโอกาส “สัมผัส” ทิวทัศน์ภายนอกตัวรถเหมือนคนทั่วไป

ผ่านเทคโนโลยีล่าสุดที่กำลังทดสอบ อย่าง ‘Feel the View’ ซึ่งพัฒนาขึ้นร่วมกับ Aedo บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา

จากวิดีโอที่ Ford นำออกเผยแพร่ กล้องซึ่งติดตั้งบนกระจกรถจะเก็บภาพทิวทัศน์จากภายนอกไว้ และทำการเรนเดอร์เป็นสีเทา ตามระดับความเข้ม/จาง (gray scale)

จากนั้น จะส่งต่อไปยังกระจกในส่วนอื่นของตัวรถ ซึ่งใช้หลอด LED ชนิดพิเศษ

เมื่อผู้โดยสารที่พิการทางสายตาใช้มือสัมผัสกระจกดังกล่าว ระดับเฉดสีเทาที่แตกต่างกันจะสั่นด้วยความถี่ที่แตกต่างกัน 255 ระดับ เพื่อช่วยให้รู้สึกและรับรู้ถึงลักษณะของทิวทัศน์ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า

นอกจาก “สัมผัส” ดังกล่าวแล้ว ระบบนี้ ยังมี image recogniton ที่จะเปล่งเสียงบอกว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าคืออะไรอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม คาดว่า Feel the View ไม่น่าจะถูกพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในรถยนต์ แต่อาจนำมาประยุกต์ใช้เป็นแท็บเล็ทเพื่อช่วยนำทางมากกว่า

Orcam Glasses : แว่นพูดได้

Orcam คืออุปกรณ์เสริมสำหรับติดตั้งบนขาแว่น สำหรับผู้พิการทางสายตา หรือมีปัญหาในการมองเห็น

โดยจะทำหน้าที่เป็น “ตา” ให้กับผู้สวมใส่ผ่านสมาร์ทคาเมร่าขนาดเล็ก ซึ่งจะส่งเสียงบอกได้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้านั้นคืออะไร

สำหรับรุ่นล่าสุดคือ MyEye 2.0 สามารถอ่านหนังสือให้ผู้ใช้งานฟังได้ นอกจากนี้ ยังมีระบบจดจำใบหน้าคน Face Recognition เพื่อช่วยบอกว่าคู่สนทนาเป็นใคร Money Notes Detection ระบุมูลค่าของธนบัตรในมือ Product Identification ที่ทำได้มากกว่าแค่การอ่านฉลากสินค้า แต่ยังสแกนบาร์โค้ดบนตัวบรรจุภัณฑ์ และให้รายละเอียดถึงส่วนผสมหรือสารอาหารตามที่ผู้ผลิตระบุไว้ Color Detection ระบุสี ไปจนถึงการบอกวันเวลาได้อีกด้วย

BrainPort V100 : มองเห็นผ่านลิ้น

BrainPort V100 เป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือสำหรับ ผู้พิการทางสายตา เพื่อให้สามารถเดินทางไปยังที่ต่างๆได้ด้วยตัวเอง (ลักษณะเดียวกับไม้เท้า หรือสุนัขนำทาง) ผ่านการกระตุ้นทางปาก

หลักการของ BrainPort คือกล้องที่ติดตั้งบริเวณแว่นกันแดด จะทำหน้าที่จับภาพ และแปลงสัญญาณเป็นการกระตุ้นที่ลิ้นของผู้ใช้งาน เพื่อตีความรูปร่างขนาด สถานที่ และลักษณะของพื้นผิว ในลักษณะเดียวกับพิกเซลบนจอภาพทั่วไปนั่นเอง

แน่นอนว่า BrainPort ไม่ได้ช่วยให้การมองเห็นกลับคืนมา แต่ผู้ใช้งานก็สามารถรับรู้ได้ว่าวัตถุข้างหน้าคืออะไรผ่านสัมผัสในปาก

จนผู้ใช้งานจริงบางรายเรียกว่า นี่คือ “การมองเห็นผ่านลิ้น”

Blitab : แท็บเลทอักษรเบรลล์

Blitab เป็นแท็บเลทสำหรับ ผู้พิการทางสายตา ซึ่งเป็นผลงานจากสตาร์ทอัพชื่อเดียวกันจากออสเตรเลีย

จากรูปร่างภายนอก Blitab มีลักษณะคล้ายกับแท็บเลททั่วไป แต่บริเวณหน้าจอจะเปลี่ยนจากทัชสกรีนทั่วไป เป็นบับเบิลขนาดเล็กซึ่งจะขยับเป็นตัวอักษรเบรลล์ เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาสามารถ “อ่าน” ข้อความที่ปรากฏบนจอได้

นอกจากการเป็น ebook ธรรมดาแล้ว Blitab ยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆที่จำเป็นอย่างการออกเสียงจากตัวอักษร (text to speech) ซึ่งสามารถเปลี่ยนบทสนทนาเป็นตัวอักษรเบรลล์บนหน้าจอ และยังเป็นแพลตฟอร์มแบบโอเพ่นซอร์ซ เพื่อให้นักพัฒนารายอื่นๆสามารถคิดค้นแอพอักษรเบรลล์อื่นๆได้อีกด้วย

Dot : สมาร์ทวอทช์แบบสัมผัส

เอริค คิม ซีอีโอของ DOT อธิบายถึงแนวคิดตั้งต้นในการก่อตั้ง Dot Incorporation เพราะเห็นว่าความก้าวหน้าในโลกปัจจุบัน ไม่ใช่สำหรับ “ทุกคน” อุปกรณ์ช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้มีปัญหาในการมองเห็น มักเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามเสมอ

คิม และเพื่อนที่มีแนวคิดตรงกัน จึงเริ่มพัฒนา Dot Watch นาฬิกาอัจฉริยะ สำหรับใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน (ทั้ง iOS และ Android) ผ่านบลูทูธ และแอพ Dot Watch

การทำงานของ Dot Watch คือรับและแจ้งเตือนข้อมูลต่างๆ อาทิ ข้อความ รายละเอียดการโทรเข้า ฯลฯ ในรูปอักษรเบรลล์ ผ่านหน้าจอความละเอียด 4 เบรลล์เซลล์ส พร้อมเซนเซอร์ระบบสัมผัส 2 จุด เพื่อให้เลื่อนเพื่ออ่านการแจ้งเตือนอื่นๆได้ และยังมีปุ่มคอนโทรลอื่นๆ อย่าง Select, Dot Crown และ Home เพื่อสั่งงานในฟังก์ชั่นต่างๆกัน รองรับได้ถึง 35 ภาษา

นอกจาก Dot Watch แล้ว คิม ยังมีแผนที่จะแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ออกไป ทั้ง Dot Pad และ Dot Mini เพื่อการศึกษา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Google ด้วย

AHEAD TAKEAWAY

แม้เทคโนโลยีจะก้าวไปไกลแค่ไหน แต่คนที่ถูกจัดให้เป็นส่วนน้อย ยังคงถูกมองข้ามเสมอ

ข้อมูลจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) ในปี 2014 ระบุว่าผู้มีปัญหาทางการมองเห็นทั่วโลกทั้งสิ้น 285 ล้านคน

ในจำนวนนี้ มี 39 ล้านคนที่ตาบอดสนิท

เทียบกับจำนวนประชากรทั้งโลก 7.5 พันล้านคน เฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 0.5% เท่านั้น

อุปกรณ์ช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้มีปัญหาในการมองเห็น จึงเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามเสมอ อาทิ

  • ร้านหนังสือหรือห้องสมุด ไม่มีบริการหนังสืออักษรเบรลล์
  • ดีไวซ์ระบบสัมผัสต่างๆ ไม่มีจุดสังเกตสำหรับคนที่มองไม่เห็น
  • ระบบขนส่งมวลชน ที่คนมีปัญหาการมองเห็นต้องใช้หูฟังเท่านั้น
  • สัญลักษณ์เบรลล์ที่ผิด หรืออยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงยากเกินไป

สตาร์ทอัพทั้งห้ารายที่ถูกกล่าวถึงในคอนเทนต์นี้จึงถือกำเนิดขึ้น และคงไม่ได้มีเป้าหมายที่การไปถึงระดับยูนิคอร์นเหมือนอีกหลายๆรายที่มีเป้าหมายใหญ่กว่าในการเปลี่ยนแปลงโลก

เอริค คิม ซีอีโอของ Dot Incorporation เคยกล่าวไว้หลังคว้ารางวัลชนะเลิศ พร้อมเงินสนับสนุน 10 ล้านเยน ใน Pitch Contest ของ Slush Tokyo 2017 ว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีความสุขมากในการสร้างดีไวซ์สำหรับผู้พิการทางสายตา

คือการได้เห็นรอยยิ้มของเด็กคนหนึ่งระหว่างทดลองใช้งาน Dot Mini

เพราะแม้คนเราจะมีบางอย่างไม่เท่ากัน แต่เราสามารถลดช่องว่างนั้นได้ด้วยเทคโนโลยี และความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้

เรียบเรียงจาก

Ford showcases smart window that allows blind to ‘feel’ the view

4 Innovative Technologies to Help Blind People See Again

The First Braille Smartwatch

สำหรับเพื่อนๆที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับนวัตกรรม และธุรกิจ และต้องการพัฒนาตัวเองเพื่ออยู่ข้างหน้าเสมอ สามารถกด like เพจ AHEAD.ASIA เพื่อติดตามเรื่องราวที่มีประโยชน์ และข่าวสารกิจกรรมที่น่าสนใจได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน

Subscribe to Our Newsletter

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก