ครูไทยสอนกันกี่ชม.ต่อสัปดาห์
เรื่องคุณภาพการศึกษาไทยเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงกันทุกปี พัฒนากันทุกปี แต่ยิ่งวัดผลกลับยิ่งอ่อนลงทุกที
เรื่องที่เราว่าสำคัญมากคือภาระงานครู
จำนวนเด็กต่อห้องเยอะนี่ก็เกินจะเอ่ยสิ่งใดแล้ว
ชม.สอนที่แน่นเอี๊ยดก็เป็นอีกเรื่องที่เราว่ามีผล
รร.ที่เราอยู่สอนกัน25คาบ 26คาบ
เจอรร.น้องสอนเสริมอีกรวมๆทะลุ30คาบ
ตอนแรกเราก็ว่าเออน้อยนะ วันนึงเฉลี่ย5ชม.เอง
แต่ไหนจะตรวจการบ้าน ไหนจะทำบันทึกการสอน
ไหนจะเตรียมการสอนคาบถัดไป
คือรู้สึกมึนเลย บางวันตรวจการบ้านผิด บางวันไม่มีอารมณ์กินข้าว งานค้างมากๆก็เครียด
เอาจริงๆกฏหมายมีกำหนดไหมว่าครูสอนสูงสุดสัปดาห์ละไม่เกินกี่คาบ
รร.ที่คุณภาพมากๆครูเขาสอนกันกี่คาบ
คืออยากเป็นครูคุณภาพนะคะ
แต่รู้สึกว่าตัวเองยังพลาดเยอะมาก
คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ที่มี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เป็นประธาน ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ตามกรอบแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการให้ ข้าราชการครูมีและเลื่อนวิทยฐานะ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ความสนใจ แม้บางท่านอาจจะพอทราบแล้ว แต่คงมีอีกหลายท่านที่ยังไม่ทราบ เพื่อให้ท่านที่ยังไม่ส่ง วฐ.1 (รุ่นสุดท้ายนี้) ได้ทราบจะได้เปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินที่ผ่านมา (แม้ตอนนี้วิธีการประเมินและเครื่องมือประเมินในรายละเอียดตามแนวทางใหม่ยังไม่ออกมาก็ตาม)โดยมีสาระสำคัญที่ควรทำความเข้าใจดังนี้
1. ด้านคุณสมบัติผู้ขอรับการประเมิน
1.1 ไม่กำหนดคุณสมบัติด้านเงินเดือนขั้นต่ำของผู้ขอรับการประเมิน
1.2 กำหนดภาระงานของผู้ขอรับการประเมินสายงานการสอน กำหนด 18 ชั่วโมง/สัปดาห์ สำหรับสายงานบริหารและสายงานนิเทศการศึกษาต้องปฏิบัติงานเต็มเวลา ทั้งนี้ การนับจำนวนชั่วโมงสอน 18 ชั่วโมง/คาบต่อสัปดาห์ เฉพาะในปีการศึกษา 2551 ให้สามารถนับชั่วโมงปฏิบัติการสอนไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง/คาบต่อสัปดาห์ และ ชั่วโมงปฏิบัติงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนตามที่ผู้บริหารสถานศึกษามอบหมายอีก 6 ชั่วโมง/คาบต่อสัปดาห์ รวมเป็น 18 ชั่วโมง/คาบต่อสัปดาห์ ได้
1.3 ประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งสายงานการสอนซึ่งผันแปรตามคุณวุฒิ กำหนดคงเดิม และให้สามารถนำประสบการณ์ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการสอนทั้งในสายงานการศึกษาของรัฐและเอกชนมานับรวมได้ หากประสบการณ์การดำรงตำแหน่งครูไม่ครบตามหลักเกณฑ์ มีการปรับประสบการณ์ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งผู้ที่ขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการเป็น 2 ปีเท่ากันทุกสายงาน ยกเว้นสายงานการสอนคงเดิมคือ
· ปริญญาตรี 6 ปี ปริญญาโท 4 ปี และปริญญาเอก 2 ปีให้สอดรับกับผลงานย้อนหลัง 2 ปีติดต่อกัน ณ วันที่ยื่นคำขอ(เดิมกำหนด 1 ปี)
· วิทยฐานะชำนาญการเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ กำหนด 2 ปี
· วิทยฐานะชำนาญการพิเศษเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ กำหนด 3 ปี เพื่อให้สอดรับกับตำแหน่งวิชาการ ในตำแหน่งรองศาตราจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาและ
· วิทยฐานะเชี่ยวชาญเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ กำหนด 2 ปี
2.กำหนดการประเมิน 3 ด้าน
2.1 การประเมินด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ ห้ามผู้ที่
ขอรับการประเมินที่มีผลการพิจารณาโทษทางวินัยหรือจรรยาบรรณวิชาชีพถึงที่สุดแล้วถูกลงโทษหนักกว่าโทษภาคทัณฑ์ ขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะ เว้นแต่ได้พ้นจากระยะเวลาที่โทษกำหนดไว้จะประเมินพิจารณาจากการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนประวัติ(ก.พ.7) ข้อมูลจากฐานข้อมูลสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) หรือส่วนราชการ สำนักงานก.ค.ศ. และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา(เมื่อผ่านการประเมินด้านที่ 1 แล้วจึงประเมินด้านที่ 2 และด้านที่ 3)
2.2 การประเมินด้านคุณภาพการปฏิบัติงานแต่ละสายงานจะพิจารณาจากประจักษ์พยานและรายงานการประเมินตนเอง (SAR : Self Assessment Report) ด้านการเรียนการสอน หรือด้านการบริหารสถานศึกษา หรือด้านการบริหารเขตพื้นที่การศึกษา หรือด้านการนิเทศการศึกษา โดยผู้ขอรับประเมินทุกวิทยฐานะต้องจัดส่งเอกสารดังกล่าว
2.3 การประเมินด้านผลที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่จะเน้นผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนในเชิงพัฒนาการเป็นสำคัญ รวมทั้งผลที่เกิดขึ้นต่อคุณภาพการศึกษา ผลต่อการพัฒนาวิชาการและวิชาชีพ ผลต่อชุมชนและสังคม โดยพิจารณาจากผลการประเมินคุณภาพภายในของสถานศึกษาผลการประเมินคุณภาพภายนอก ของสถานศึกษา ผลการทดสอบระดับชาติ O-net, A-net, NT ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนรายบุคคล กรณีหน่วยงานการศึกษาที่ไม่มีการทดสอบ O-net, A-net, NT ให้ใช้ผลการทดสอบมาตรฐานวิชาชีพหรือมาตรฐานการศึกษาตามที่ส่วนราชการ หรือหน่วยงานการศึกษานั้นกำหนด อาทิ ผลการทดสอบของสถาบันการพลศึกษา กรมศิลปากร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
นอกจากนี้ พิจารณาจากเอกสารรายงานการวิจัยปฏิบัติการสำหรับสายผู้สอน หรือรายงานที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ปกติที่ได้นำไปใช้แล้ว โดยกำหนดให้จัดส่งตั้งแต่วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญต้องเสนอรายงานการวิจัยและนวัตกรรม และรายงานการพัฒนานวัตกรรมที่นำไปใช้แล้วจนเกิดผลดี เป็นแบบอย่างได้สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องเป็นรายงานวิจัยและนวัตกรรม รายงานการพัฒนานวัตกรรมที่นำไปใช้แล้วจนเกิดผลดียิ่ง เป็นความรู้ใหม่ และเป็นแบบอย่างได้
ในกรณีที่มีการโอนหรือย้ายผลที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิม สามารถนำมาใช้ในการประเมินใหม่ได้ ยกเว้นกรณีการเปลี่ยนสายงาน
3.วิธีการประเมิน
กำหนดเป็น 2 วิธีคือ
· การประเมินด้วยวิธีปกติ มีกรรมการประเมิน 3 คน เป็นกรรมการจากบุคคล
ภายใน 1 คน กรรมการจากบุคคลภายนอก 2 คนและ
· การประเมินด้วยวิธีพิเศษมีการประเมิน 5 คน เป็นกรรมการจากบุคคลภายนอก
ทั้งหมด
ในการประเมินด้วยวิธีพิเศษ จะทำให้ผู้มีความรู้ ความสามารถได้มีความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด (Fast Track)กำหนดให้เริ่มขอรับการประเมินได้เมื่อมีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่าวิทยฐานะชำนาญการแล้ว
สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ก.ค.ศ. กำหนด แต่มีผลงานดีเด่นเป็นพิเศษและเป็นที่ยอมรับเพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ สำหรับผู้มีความรู้ ความสามารถและมีผลงานดี รวมทั้งดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้าสู่วิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งนี้สามารถจะขอประเมินข้ามวิทยฐานะและหรือไม่ข้ามวิทยฐานะก็ได้ ประเมินโดย ก.ค.ศ. เป็นผู้พิจารณาและตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการประเมินจำนวน 5 คน
4.เกณฑ์ผ่านการประเมินแต่ละวิทยฐานะต้องเป็นเอกฉันท์ในแต่ละด้าน ดังนี้
ด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ
· วิทยฐานะชำนาญการ และวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ อยู่ในเกณฑ์ผ่าน
· วิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ อยู่ในเกณฑ์ผ่านและเป็นแบบอย่างที่ดี
ด้านคุณภาพการปฏิบัติงาน
· วิทยฐานะชำนาญการ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65
· วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
· วิทยฐานะเชี่ยวชาญ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75
· วิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
ด้านผลที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่
· วิทยฐานะชำนาญการ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65
· วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
· วิทยฐานะเชี่ยวชาญ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75
· วิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
5.เงื่อนไขการพัฒนาก่อนการแต่งตั้ง
กำหนดเฉพาะวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โดยให้ไปเข้ารับการพัฒนาตามหลักสูตรที่
ก.ค.ศ.กำหนด เพื่อพัฒนางานในหน้าที่ ไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมง หรือจำนวนหน่วยการพัฒนาที่กำหนดตามหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง
***********************************************