ผู้หญิงใช้พลังงานกี่แคลต่อวัน

1วันควรกินกี่แคล หมายถึง จำนวนพลังงานจากสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันซึ่งมีหน่วยวัดเป็นกิโลแคลอรี่หรือแคลอรี่ โดยจำนวนพลังงานที่ร่างกายของแต่ละคนควรได้รับใน 1 วันนั้น ขึ้นอยู่กับหลาปัจจัย อย่างเพศ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง หรือไลฟ์สไตล์ เช่น เพศชายอายุ 20 ปี ปกติแล้วมักต้องการพลังงานประมาณ 2,400-3,000 แคลอรี่/วัน ส่วนเพศหญิงในวัยเดียวกัน มักต้องการพลังงานน้อยกว่า หรือประมาณ 2,000-2,400 แคลอรี่/วัน อย่างไรก็ตาม หากเพศหญิงคนดังกล่าวเป็นนักกีฬา หรือทำงานที่ต้องออกแรงมาก พลังงานที่ต้องการภายใน 1 วัน อาจมากกว่านั้น หรืออยู่ในระดับเดียวกับเพศชายอายุ 20 ปี ทั้งนี้ จำนวนแคลอรี่ที่ควรได้รับในแต่ละวันควรเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ภาวะอ่อนเพลีย สมองเสื่อม

แคลอรี่ คืออะไร

แคลอรี่ (Calorie) ย่อมาจากกิโลแคลอรี่ (Kilocalorie) เป็นหน่วยวัดของจำนวนพลังงานที่ร่างกายจะได้รับเมื่อบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มแต่ละชนิด

หากได้รับปริมาณแคลอรี่เกินกว่าระดับที่ร่างกายต้องการใช้ จะทำให้เกิดการสะสมของพลังงานส่วนเกินในรูปแบบของไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการมีน้ำหนักเกินเกณฑ์ ลงพุง หรือเป็นโรคอ้วน

โดยปกติบนบรรจุภัณฑ์ของอาหารหรือเครื่องดื่มมักมีฉลากบอกจำนวนพลังงานเป็นหน่วยแคลอรี่หรือกิโลแคลอรี่ แต่ในบางผลิตภัณฑ์อาจมีฉลากที่ใช้หน่วยวัดพลังงานเป็นกิโลจูล (Kilojoule หรือ KJ) โดย 4.184 กิโลจูลเท่ากับ 1 กิโลแคลอรี่

1วันควรกินกี่แคล

ผู้ชาย ผู้หญิง เด็กชาย และเด็กหญิงในช่วงอายุต่าง ๆ ควรบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่ม เพื่อให้ได้รับแคลอรี่ภายใน 1 วันดังต่อไปนี้

ผู้ชาย

  • อายุ 19-30 ปี ควรได้รับ 2,400-3,000 แคลอรี่/วัน
  • อายุ 31-59 ปี ควรได้รับ 2,200-3,000 แคลอรี่/วัน
  • อายุ 60 ปี ขึ้นไป ควรได้รับ 2,000-2,600 แคลอรี่/วัน

ผู้หญิง

  • อายุ 19-30 ปี ควรได้รับ 2,000-2,400 แคลอรี่/วัน
  • อายุ 31-59 ปี ควรได้รับ 1,800-2,200 แคลอรี่/วัน
  • อายุ 60 ปี ขึ้นไป ควรได้รับ 1,600-2,000 แคลอรี่/วัน

เด็กผู้ชาย

  • อายุ 2-4 ปี ควรได้รับ 1,000-1,600 แคลอรี่/วัน
  • อายุ 5-8 ปี ควรได้รับ 1,200-2,000 แคลอรี่/วัน
  • อายุ 9-13 ปี ควรได้รับ 1,600-2,600 แคลอรี่/วัน
  • อายุ 14-18 ปี ควรได้รับ 2,000-3,200 แคลอรี่/วัน

เด็กผู้หญิง

  • อายุ 2-4 ปี ควรได้รับ 1,000-1,400 แคลอรี่/วัน
  • อายุ 5-8 ปี ควรได้รับ 1,200-1,800 แคลอรี่/วัน
  • อายุ 9-13 ปี ควรได้รับ 1,400-2,200 แคลอรี่/วัน
  • อายุ 14-18 ปี ควรได้รับ 1,800-2,400 แคลอรี่/วัน

ทั้งนี้ นอกจากเพศและวัยแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจช่วยระบุได้ว่า 1วันควรกินกี่แคล มีดังนี้

  • น้ำหนักและส่วนสูง หากเป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน หรือมีค่าดัชนีมวลกายเกิน 30 ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย และต้องการลดน้ำหนัก ควรใช้พลังงานให้มากกว่าจำนวนแคลอรี่ที่ได้รับ เพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน
  • ไลฟ์สไตล์ ผู้ที่ใช้แรงงานและผู้ที่ออกกำลังสม่ำเสมอ มักต้องการพลังงานในการดำเนินชีวิตประจำวันมากกว่าคนทั่วไป ควรบริโภคอาหารให้ได้สัดส่วนและจำนวนแคลอรี่ที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • ภาวะสุขภาพ ภาวะสุขภาพบางอย่าง เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย เช่น ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism) เมื่อเป็นแล้วจะทำให้การเผาผลาญพลังงานจากอาหารช้าลง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวมากขึ้นเนื่องจากมีพลังงานส่วนเกินมากไป
  • อากาศและสภาพแวดล้อม ในพื้นที่ที่อากาศหนาว ร่างกายจะต้องการแคลอรี่มากกว่าปกติ เพื่อรักษาอุณหภูมิและทำให้รู้สึกอบอุ่น ส่วนพื้นที่ที่อากาศร้อน ร่างกายจะต้องการแคลอรี่น้อยกว่า

แคลอรี่ กับการลดน้ำหนัก

หากร่างกายได้รับจำนวนพลังงานเกินความจำเป็น อาจก่อให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนเนื่องจากพลังงานส่วนเกินจะถูกสะสมในรูปแบบของไขมัน การได้รับพลังงานจากอาหารน้อยลง จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้นำมาใช้เป็นพลังงาน และทำให้น้ำหนักตัวค่อย ๆ ลดลง

อย่างไรก็ตาม จำนวนพลังงานที่ร่างกายควรได้รับระหว่างลดน้ำหนัก ไม่ควรต่ำกว่า 1,200 แคลอรี่ต่อวัน เพราะหากร่างกายได้รับพลังงานน้อยเกินไป ระดับการเผาผลาญพลังงานจะต่ำลง ซึ่งส่งผลให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้ยากขึ้น

นอกจากนั้น หากต้องการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องและได้ผล นอกเหนือจากการจำกัดปริมาณแคลอรี่ที่ควรได้รับในแต่ละวันแล้ว

ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • บริโภคโปรตีนให้มากขึ้น โดยเฉพาะโปรตีนจากพืช ธัญพืชในแต่ละมื้อ เพราะโปรตีนช่วยให้อิ่มท้องได้นาน และลดโอกาสบริโภคพลังงานส่วนเกิน
  • หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาล เพราะให้พลังงานสูง ซึ่งน้ำตาลมักเป็นส่วนผสมในของหวานและขนมหลาย ๆ ชนิด โดยน้ำตาล 100 กรัม ให้พลังงาน 387 แคลอรี่
  • เลือกดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร เพื่อลดความหิวและการบริโภคพลังงานส่วนเกิน งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ศึกษาเกี่ยวกับการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร ตีพิมพ์ในวารสาร European Journal of Nutrition ปี พ.ศ. 2559 นักวิจัยแบ่งผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวน 14 รายออกเป็น 2 กลุ่ม โดยให้กลุ่มแรกดื่มน้ำปริมาณ 568 มิลลิลิตรก่อนอาหารเช้า ส่วนอีกกลุ่มไม่ดื่มเครื่องดื่มใด ๆ เพื่อวัดความแตกต่างหลังมื้ออาหาร พบว่า กลุ่มที่ไม่ได้ดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร มีความหิวและต้องการบริโภคอาหารมากกว่ากลุ่มที่ดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร นักวิจัยจึงสรุปว่า การดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารอาจช่วยทำให้อิ่มท้องและเป็นประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก
  • ออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ ให้เป็นพลังงาน โดยการออกกำลังแต่ละรูปแบบ จะส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงานได้ไม่เท่ากัน เช่น การเล่นเทนนิสช่วยเผาผลาญพลังงานได้ 728 แคลอรี่/ชั่วโมง การวิ่งช่วยเผาผลาญได้ 755 แคลอรี่/ชั่วโมง การกระโดดเชือกช่วยเผาผลาญได้ 1,074 แคลอรี่/ชั่วโมง

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ผู้หญิงไม่ควรกินเกินวันละกี่แคล

ผู้หญิง : ควรกินอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก 2,000 kcal/วัน และกินเพื่อลดน้ำหนัก 1,500 kcal/วัน ผู้ชาย : ควรกินอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก 2,500 kcal/วัน และกินเพื่อลดน้ำหนัก 1,800 kcal/วัน

เบิร์นวันละกี่แคล

🎯 ในเรื่องของการ "ออก" หรือ การ "เผาผลาญไขมันสะสม" ... ควรเคลื่อนไหวร่างกายให้บ่อย หรือหากิจกรรม หรือกีฬาทำในแต่ละวัน และควรเผาผลาญแคลอรี่ต่อวันไม่ต่ำกว่า 2,300 กิโลแคลอรี และกินไม่เกิน 1,200 กิโลแคลอรี่ (ช่วงลดน้ำหนัก)

ผู้หญิงอายุ 25 ปี ต้องการพลังงานวันละเท่าไร

อายุ 9-13 ปี ควรได้รับแคลอรี่ต่อวัน 1,800-2,200 กิโลแคลอรี่ อายุ 14-18 ปี ควรได้รับแคลอรี่ต่อวัน 2,400 กิโลแคลอรี่ อายุ 19-30 ปี ควรได้รับแคลอรี่ต่อวัน 2,400 กิโลแคลอรี่ อายุ 31-50 ปี ควรได้รับแคลอรี่ต่อวัน 2,200 กิโลแคลอรี่

น้ําหนัก 50 ต้องกินกี่แคล

วิธีคำนวณแคลอรี่ แคลอรี่ที่ต้องการใช้ในแต่ละวันสำหรับผู้หญิง = น้ำหนักตัว x 27 (ตัวอย่างเช่น น้ำหนัก 50 ก็จะได้คำนวณได้แคลอรี่ที่ต้องการใช้ต่อวันเท่ากับ 50×27= 1,350 กิโลแคลอรี่) หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 1,600 กิโลแคลอรี่

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก