ในภาวะที่ค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูงขึ้น คนวัยทำงานมักจะไม่กังวลในจุดนี้มากนัก เพราะส่วนใหญ่จะมีสวัสดิการด้านรักษาพยาบาลของบริษัท และยังมีสิทธิ์การรักษาพยาบาลของประกันสังคม แต่เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลที่เคยได้รับจากบริษัทอาจหมดไป แต่สำหรับสิทธิรักษาพยาบาลจากประกันสังคมนั้น เรายังมีทางเลือกที่จะยกเลิกหรือเก็บสิทธิรักษาพยาบาลจากประกันสังคมได้
หากลาออก หรือ สิ้นสุดสมาชิกภาพตามประกันสังคมมาตรา 33 ก็จะหมดสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์จากประกันสังคม ซึ่งรวมถึงสิทธิการรักษาพยาบาล แต่ผู้ประกันตนจะได้รับบำนาญชราภาพ หากผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาเกิน 15 ปี (180 เดือน) และในส่วนของการรักษาพยาบาล ก็สามารถไปใช้สิทธิรักษาพยาบาลจากบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ได้
หากคงสถานภาพสมาชิกประกันสังคม ก็ต้องเลือกที่จะส่งต่อประกันสังคมมาตรา 39 ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ลาออกจากงาน โดยในกรณีนี้ ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินสมทบจำนวน 432 บาทต่อเดือน (9% บนฐานเงินเดือนที่ใช้คำนวณเงินสมทบที่ 4,800 บาท) ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ประกันตนจะยังคงสิทธิรักษาพยาบาล รวมถึงสิทธิประโยชน์ตามประกันสังคมอื่น ๆ (ทุพพลภาพ คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และเสียชีวิต)
สำหรับสิทธิการรักษาพยาบาลนั้น ผู้ประกันตนภายใต้สิทธิประกันสังคม สามารถใช้บริการโรงพยาบาลคู่สัญญาที่ตนเลือกไว้ ส่วนบัตรทองจะเป็นการใช้บริการโรงพยาบาลในชุมชน หรือศูนย์สาธารณสุขที่ร่วมโครงการและอยู่ในพื้นที่ที่ลงทะเบียนไว้เท่านั้น ในกรณีหากโรงพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง ไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือเป็นโรคซับซ้อน ก็สามารถส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเจาะจงได้
แต่ประกันสังคมไม่ครอบคลุมถึงการปลูกถ่ายไขกระดูก กรณีเป็นมะเร็งชนิดที่ประกันสังคมกำหนดไว้ และไม่ครอบคลุมการปลูกถ่ายไต หากผู้ประกันตนป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังมาก่อน ส่วนบัตรทองให้ความคุ้มครอง ประกันสังคมให้สิทธิถอนฟัน อุดฟัน ขุดหินปูนได้ไม่เกิน 900 บาท/ปี ส่วนบัตรทองสามารถใช้บริการได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง และไม่มีวงเงิน
หากต้องรักษาตัวแบบพักฟื้น หลังผู้ป่วยกลับบ้าน และการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายหลังสิ้นสุดการรักษา ประกันสังคมจะไม่คุ้มครอง แต่บัตรทองให้ความคุ้มครอง และขยายการให้บริการที่ครอบคลุมทั้งในและนอกโรงพยาบาล ขณะที่ประกันสังคมใช้ยาได้ทั้งในและนอกบัญชีหลักแห่งชาติ ส่วนบัตรทองสามารถใช้ยาที่มีอยู่ในบัญชีหลักแห่งชาติ ส่วนยานอกบัญชียาหลักนั้น จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ รวมทั้งกรณีที่ผู้ป่วยยอมจ่ายเงินเอง
จะเห็นได้ว่า สิทธิการรักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ไม่ได้ด้อยไปกว่าสิทธิรักษาพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม ดังนั้น การเลือกใช้สิทธิรักษาพยาบาลจากบัตรทอง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการส่งต่อประกันสังคมตามมาตรา 39
สิทธิรักษาพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุเป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากร่างกายเสื่อมสภาพไปตามวัย จึงจำเป็นต้องได้รับสิทธิการดูแลรักษาเมื่อเจ็บป่วย เมื่อเกษียณแล้ว ยังคงใช้สิทธิประกันสังคมได้หรือไม่ หรือควรเลือกใช้สิทธิบัตรทองดีกว่า ก่อนตัดสินใจเลือกสิทธิการรักษา มาดูกันก่อนว่าสิทธิการรักษาแบบไหนเหมาะกับการรักษาพยาบาลของผู้สูงอายุในวัยเกษียณ
สารบัญ
Link ที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์ สำนักงานประกันสังคม
ติดต่อ สปสช.
สิทธิรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน ในวัยเกษียณ
สิทธิขั้นพื้นฐานในการรักษาพยาบาลของผู้สูงอายุไม่ว่าจะเป็น สิทธิหลักประกันสุขภาพ หรือ สิทธิประกันสังคม ก็เป็นสิทธิที่ผู้สูงอายุจะใช้ได้หลังเกษียณ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- สิทธิ”บัตรทอง” หรือบัตรประกันสุขภาพแห่งชาติ
คนไทยทุกคนสามารถใช้สิทธิบัตรทองรักษาได้ตลอดชีวิตไม่มีวันหมดอายุ โดยครอบคลุมการรักษาโรค เช่น ให้บริการตรวจสุขภาพ ตรวจคัดกรองโรค ให้คำแนะนำด้านสุขภาพต่าง ๆ อาการเจ็บป่วยทางกาย หรือทางจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้า ไปจนถึงโรคร้ายแรง โรคเรื้อรัง โดยคุ้มครองค่าใช้จ่ายตามการวินิจฉัยของแพทย์ และประกาศหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทั้งนี้ต้องไม่เป็นผู้ถือสิทธิอื่น เช่น สิทธิประกันสังคม สิทธิรัฐวิสาหกิจ หรือ สิทธิข้าราชการ - สิทธิประกันสังคม
ถ้าผู้สูงอายุต้องการเลือกคงสถานภาพสมาชิกประกันสังคมไว้ เพื่อยังคงสิทธิรักษาพยาบาล จะต้องยื่นสมัครประกันสังคมมาตรา 39ต่อภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ออกจากงาน โดยจะต้องจ่ายเงินสมทบจำนวน 432 บาทต่อเดือน โดยประกันสังคม จะคุ้มครองอาการเจ็บป่วยทั่วไป หรือเมื่อประสบอุบัติเหตุ ส่วนกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินเมื่อจำเป็นต้องเข้ารับการบริการในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ผู้ประกันตนสามารถสำรองจ่ายค่ารักษาไปก่อน แล้วจึงค่อยเบิกคืนกับทางประกันสังคมได้ในภายหลัง
ประกันสังคมหรือบัตรทอง ต่างกันอย่างไร
ลูกจ้างในระบบประกันสังคมที่เตรียมเกษียณอายุแล้ว ควรวางแผนเลือกการรักษาพยาบาลแบบไหน ระหว่างสิทธิบัตรทองและสิทธิประกันสังคม
ผู้สูงอายุที่เกษียณแล้ว ลองมาตรวจสอบรายละเอียดสิทธิประโยชน์ระหว่าง สิทธิประกันสังคม และสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ 2 ทางเลือก แล้วลองวางแผนดูว่าควรเลือกแบบไหนแล้วได้ประโยชน์มากที่สุด
เปรียบเทียบสิทธิบัตรทองและสิทธิประกันสังคม
สิทธิประโยชน์ประกันสังคม ม.39บัตรทอง
1. การใช้บริการรพ. ที่ได้เลือกไว้รพ.ในเขตพื้นที่ที่ร่วมโครงการและลงทะเบียนไว้2. สิทธิการรักษาสิทธิการรักษาประกันสังคม อ่านรายละเอียดได้ ที่นี่สิทธิการรักษาพยาบาลบัตรทอง อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ ที่นี่3. บริการทันตกรรมถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน
ไม่เกิน 900 บาท/ปีใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
ไม่จำกัดวงเงิน4. การรักษาต่อเนื่องไม่มีสิทธิการรักษาต่อเนื่องการรักษาแบบพักฟื้น
การฟื้นฟูสมรรถภาพหลังการรักษา5. ยาและเวชภัณฑ์ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์)6. ค่าห้องและค่าอาหารไม่เกิน 700 บาท/วันฟรีค่าห้องและค่าอาหารสามัญ (รพ.รัฐบาล)7. ระยะเวลาการคุ้มครองสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน ด้วยการลาออก เกษียณอายุ หรือขาดส่งเงินสมทบเกิน 3 เดือนไม่มีวันหมดอายุใช้ได้ตลอดชีวิต
*ศึกษารายละเอียดสิทธิการรักษาเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์สปสช. และ เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม
ประกันสัมคมมาตรา 39 เกษียณแล้วก็ยังใช้ต่อได้
ผู้สูงอายุที่เกษียณจากการทำงานและสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคม ที่อยากจะใช้ สิทธิรักษาพยาบบาลประกันสังคม ด้วยการจ่ายสมทบตามมาตรา 39 ยังคงสิทธิรักษาพยาบาล รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ของประกันสังคม (ทุพพลภาพ คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และเสียชีวิต ทั้งนี้จะได้รับเงินบำนาญชราภาพน้อยลง เพราะเมื่อลาออกจากการเป็นผู้ประกันตน ทำให้เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน ที่จะนำมาคำนวณเงินบำนาญจะเหลือเพียง 4,800 บาท ส่งผลให้เงินบำนาญที่เราจะได้รับลดลง ในขณะที่เงินเดือนเฉลี่ยในการคำนวณเงินบำนาญของประกันสังคมมาตรา 33 อยู่ที่ 15,000 บาท
บัตรทองคุ้มครองตลอดชีพ
หากดูตารางเปรียบเทียบ จะเห็นว่า สิทธิการรักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสิทธิรักษาพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม อีกทั้งอายุการคุ้มครองของบัตรทองไม่มีวันหมดอายุ
หากเกษียณแล้วยังสามารถใช้สิทธิรักษาพยาบาลจากประกันสังคมต่อได้ เพียงสมัครประกันสังคมมาตรา 39 เพื่อใช้สิทธิ และอีกทางเลือกหนึ่งคือสิทธิบัตรทองหรือประกันสุขภาพทั่วหน้า ก็เป็นหนึ่งสิทธิรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานสำหรับคนไทยเช่นกัน ดังนั้นหากดูรายละเอียดแล้วสามารถใช้สิทธิที่เหมาะกับตนเองได้เลย