ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อพัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยส่งผลต่ออาณาจักรไทยในสมัยต่อมาเป็นอย่างไรบ้าง ปัจจัยที่ใดบ้างเอื้อต่อพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจของอาณาจักรสุโขทัย อะไรเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย ด้านการคมนาคม ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย ด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยที่มีผลต่อการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ได้แก่ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนา อาณาจักรสุโขทัย ปัจจัยที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจักรไทย สรุป ปัจจัยที่นําไปสู่การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย ปัจจัยภายนอก

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย ด้านการเกษตร

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการในสมัยสุโขทัย

ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม

- สภาพภูมิอากาศ สุโขทัยตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขา ทำให้อากาศไม่ร้อนจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีฝนตกชุกในฤดูมรสุม

- ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า ของป่า และแร่ธาตุต่างๆ

- การคมนาคม สุโขทัยมีเส้นทางการค้าทางน้ำและทางบกที่สามารถติดต่อกับแคว้นต่างๆได้สะดวก

ปัจจัยด้านอารยธรรม

สุโขทัยได้รับวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมเดิมของไทย
ทั้งด้านศาสนา ภาษา การปกครอง กฎหมาย และศิลปกรรม จนเกิดเป็นศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยสืบต่อมาในสมัยหลัง

การเมืองการปกครองสมัยสุโขทัย

 อาณาจักรสุโขทัยเมื่อแรกตั้งยังมีอาณาเขตไม่กว้างขวาง      มีจำนวนพลเมืองยังไม่มากและอยู่ในระหว่างการก่อร่างสร้างตัว  การปกครองในระยะแรกจึงยังเป็นการปกครองระบบแบบครอบครัว   ผู้นำของอาณาจักรทำตัวเหมือนบิดาของประชาชน  มีฐานะเป็นพ่อขุน  มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชน ต่อมาหลังสมัยพ่อขุนรามคำแหงสถานการณ์ของบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป  จึงเริ่มใช้การปกครองที่เป็นแบบแผนมากขึ้น  ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับประชาชนแตกต่างไปจากเดิม      ความพยายามที่จะเพิ่มพูนอำนาจของกษัตริย์ให้สูงทรงมีฐานะเป็นธรรมราชา และทรงใช้หลักธรรมมาเป็นแนวทางในการปกครอง

                           ลักษณะการปกครองในสมัยสุโขทัย

การปกครองในสมัยสุโขทัยแบ่งเป็น 2 ระยะคือ

1.  สมัยสุโขทัยตอนต้น   เริ่มตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ไปถึงสิ้นสมัยของพ่อขุนรามคำแหง

2.  สมัยสุโขทัยตอนปลายตั้งแต่สมัยพระยาเลอไทยไปถึงสมัยสุโขทัยหมดอำนาจ

                             การปกครองสมัยสุโขทัยตอนต้น ( พ.ศ. 1792  -1841 )

      หลังจากที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นมาแล้วได้พยายามขจัดอิทธิพลของขอมให้หมดไปจึงได้จัดระบบการปกครองใหม่เป็นการปกครองแบบไทย ๆที่ถือว่าประชาชนทุกคนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน  โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าครอบครัว คือ พระมหากษัตริย์ได้ปกครองประชาชนในฐานะบิดาปกครองบุตร หรือที่เรียกว่าการปกครองแบบปิตุราชาธิปไตย ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญดังต่อไปนี้คือ

1.  รูปแบบการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตย คือพระมหากษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นผู้ปกครองสูงสุด ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย

2.  พระมหากษัตริย์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนเปรียบเสมือนบิดากับบุคร  ทำตัวเปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัว  พระมหากษัตริย์ในสมัยสุโขทัยตอนต้นจึงมีพระนามนำหน้าว่า พ่อขุน

3.  ลักษณะการปกครองระบบครอบครัวลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ นอกจากพระมหากษัตริย์ทำตัวเปรียบเสมือนบิดาของราษฎรแล้ว   ยังมีการจัดระบบการปกครอง  ดังนี้

       -ให้ครัวเรือนหลายครัวเรือนรวมตัวกันเป็น บ้าน อยู่ในความดูแลของ พ่อบ้าน ผู้อยู่ภายใต้การปกครองเรียกว่า   ลูกบ้าน

       -หลายบ้านรวมกันเป็น เมือง  ผู้ปกครองเรียกว่า  ขุน

       -เมืองหลายเมืองรวมกันเป็น    อาณาจักร    อยู่ในการปกครองของ    พ่อขุน 

แสดงให้เห็นว่านอกจากพ่อขุนผู้เป็นประมุขสูงสุดแล้ว ยังมีผู้ปกครองที่ได้รับมอบหมายจากพ่อขุนทำหน้าที่เป็นกลไกในการปกครองด้วย

4.  พระมหากษัตริย์ทรงยึดหลักธรรมทางศาสนาในการบริหารบ้านเมือง และทรงชักชวนให้ประชาชนปฏิบัติธรรม

 เพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ในสมัยสุโขทัยตอนต้นยังมีการปกครองแบบทหารแอบแฝงอยู่ด้วยเนื่องจากในระยะแรกตั้งสุโขทัยมีอาณาเขตแคบ ๆ ประชาชนยังมีน้อยดังนั้นทุดคนจึงต้องมีหน้าที่ในการป้องกันประเทศเท่าๆกันจึงกำหนดว่า เวลาบ้านเมืองปกติประชาชนต่างทำมาหากินแต่เวลาเกิดศึกสงครามชายฉกรรจ์ทุกคนต้องเป็นทหาร  โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ

                        การปกครองในสมัยสุโขทัยตอนปลาย       (พ.ศ. 1841-1981  )

     หลังจากที่พ่อชันรามคำแหงสวรรคตในพ.ศ. 1841แล้วอาณาจักรสุโขทัยเริ่มระส่ำระสายพระมหากษัตริย์รัชกาลต่อมาเริ่มอ่อนแอ  ไม่สามารถรักษาความมั่นคลของอาณาจักรไว้ได้   เมืองหลายเมืองแยกตัวออกไปเป็นอิสระสภาพการเมืองภายในเกิดปัญหาการสืบราชสมบัติ  รูปแบบการปกครองแบบบิดาปกครองบุตรเริ่มเสื่อมสลายลง เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มั่นคงเพียงพอ จนกระทั่งสมัยพระยาลิไทย ซึ่งขณะนั้นปกครองอยู่ที่เมืองศรีสัชนาลัยได้ยกกำลังเข้ายึดเมืองสุโขทัยและปราบศัตรูจนราบคาบบ้านเมืองจึงสงบลง   เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 1 ( ลิไทย ) ขึ้นครองราชย์สมบัติในปี 1890    ทรงตระหนักถึงความไม่มั่นคงภายใน  ประกอบกับเวลานั้นกรุงศรีอยุธยาที่ตั้งขึ้นมาใหม่กำลังแผ่ขยายอำนาจจนน่ากลัวจะเกิดอันตรายกับสุโขทัย  พระมหาธรรมราชาที่ 1 ( ลิไทย )  ทรงเห็นว่าการแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยการใช้อำนาจทางทหารอย่างเดียวนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะอำนาจทางการทหารในสมัยของพระองค์นั้นไม่เข้มแข็งพอ  จึงทรงดำเนินพระราชกุศโลบาย โดยทรงทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ทรงเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเป็นตัวอย่าง และได้ทรงสร้างถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนาไว้ทั่วไปเพื่อเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนให้เกิดเลื่อมใสศรัทธายึดหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต     สร้างความสามัคคีกลมเกลียวกันในแผ่นดิน การปกครองที่อาศัยพระพุทธศาสนานี้เรียกว่าการปกครองแบบธรรมราชา พระมหากษัตริย์จะทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม การปกครองแบบธรรมราชานี้ถูกนำมาใช้จนประทั่งสิ้นสุดสมัยสุโขทัย

      การปกครองแบบกระจายอำนาจ

    เนื่องจากในสมัยพ่อขุนรามคำแหงอาณาจักรสุโขทัยมีอาณาเขตกว้างขวางมากที่สุด จึงจำเป็นต้องมีการปกครองแบบกระจายอำนาจโดยแบ่งหัวเมืองออกเป็น ชั้น ๆเพื่อกระจายอำนาจในการปกครองออกไปให้ทั่วถึงเมืองต่าง ๆในสมัยสุโขทัยแบ่งออกเป็น 4 ชั้น  แต่ละชั้นพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจในการปกครองดังนี้

   1. เมืองหลวง หรือเมืองราชธานี    อาณาจักรสุโขทัยมีเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี เมืองหลวงหรือเมืองราชธานีมีพระมหากษัตริย์ปกครองเอง   เมืองราชธานี เป็นศูนย์กลางทางการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนาวัฒนธรรมประเพณ๊

 2   เมืองลูกหลวง หรือเมืองหน้าด่าน  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหัวเมืองชั้นใน  ตั้งอยู่รายรอบราชธานีทั้ง 4 ทิศ ห่างจากเมืองหลวงมีระยะทางเดินเท้า  2 วัน  เมืองลูกหลวงมีดังนี้

                      ทิศเหนือ                 ได้แก่        เมืองศรีสัชนาลัย

                      ทิศตะวันออก         ได้แก่        เมืองสองแคว  ( พิษณุโลก )

                      ทิศใต้                     ได้แก่        เมืองสระหลวง    ( เมืองพิจิตรเก่า  )

                      ทิศตะวันตก            ได้แก่       เมืองนครชุม     ( กำแพงเพชร )   

 เมืองลูกหลวงมีความสำคัญรองมาจากเมืองหลวง   ผู้ที่ถูกส่งไปปกครองคือเจ้านายเชื้อพระวงษ์

3. เมืองพระยามหานคร เป็นหัวเมืองชั้นนอก ห่างจากเมืองราชธานีออกไปมากกว่าเมืองลูกหลวง  พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือผู้ที่เหมาะสมและมีความสามารถไปปกครองดูแลเมืองเหล่านี้โดยขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ มีวิธีการปกครองเช่นเดียวกับหัวเมืองชั้นใน เมืองพระยามหานครในสมัยสุโขทัย    เช่น เ มืองพระบาง  (นครสวรรค์ ) เมืองเชียงทอง ( อยู่ในเขตจังหวัดตาก )เมืองบางพาน ( อยู่ในเขตจังหวัดกำแพงเพชร )    เป็นต้น

4. เมืองประเทศราช       ได้แก่เมืองที่อยู่นอกอาณาจักร ชาวเมืองเป็นชาวต่างชาติต่างภาษาพระมหากษัตริย์ทรงดำเนินนโยบายในการปกครองคือให้เจ้านายพื้นเมืองเดิมเป็นเจ้าเมืองปกครองกันอง  โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปกครองภายใน  ยกเว้นกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ยามปกติเมืองประเทศราชต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระมหากษัตริย์สุโขทัยทุก 3 ปี     ยามสงครามต้องส่งกองทัพและเสบียงอาหารมาช่วย   สมัยพ่อขุนรามคำแหงมีเมืองประเทศราชหลายเมืองดังต่อไปนี้คือ

       ทิศเหนือ                                 ได้แก่         เมืองแพร่ เมืองน่าน

       ทิศตะวันตก                            ได้แก่         เมืองทะวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองหงสาวดี

       ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ         ได้แก่          เมืองเซ่า   ( หลวงพระบาง )         เมืองเวียงจันทน์

       ทิศใต้                                       ได้แก่          เมืองนครศรีธรรมราช  เมืองมะละกา เมืองยะโฮร์

จากหลักฐานศิลาจารึกหลักที่ 1 ทำให้เราทราบว่า  เศรษฐกิจในสมัยสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรือง  ประชาชนมีความกินดีอยู่ดี  บ้านเมืองมมีความอุดมสมบูรณ์
          ปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้สุโขทัยสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้า  มีหลายประเภทดังนี้
          1.  ภูมิประเทศ  สุโขทัยตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ  ที่ราบเชิงเขาซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูก  เลี้ยงสัตว์  และจับสัตว์น้ำ
          2.  ทรัพยากรธรรมราช  สุโขทัยมีพืชพรรณธรรมชาติต่าง ๆ อย่างอุดมสมบูรณ์  เช่น  ป่าไม้  สัตว์ป่า  และแร่ธาตุต่าง ๆ
          3.  ความสามารถของผู้นำ  กษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ปกครองกรุงสุโขทัยทรงมีพระปรีชาสามารถในการคิดริเริ่ม  และดัดแปลงสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตของราษฎร  เช่น  สร้างทำนบกั้นน้ำไว้เพื่อเก็บกักน้ำ  ที่เรียกว่า  ทำนบพระร่วง  ส่งน้ำไปตามคูคลองสู่คูเมือง  เพื่อระยายน้ำสู่พื้นที่เกษตรกรรม  จึงทำให้ประชาชนมีน้ำใช้สอยอย่างเพียงพอ
               พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจของสุโขทัย  

   ขึ้นอยู่กับอาชีพหลักของประชาชน 3 อาชีพ  ได้แก่  เกษตรกรรม  หัตถกรรม  และค้าขาย

          1.  เกษตรกรรม
               สังคมสุโขทัยเป็นสังคมเกษตรกรรม  อาชีพหลักของประชาชน  คือ  การเพาะปลูก  และเลี้ยงสัตว์  การเพาะปลูกจะมีทั้งการทำนา  ทำไร่  และทำสวน  พืชที่ปลูกกันมาก  เช่น  ข้าว  มะม่วง  หมากพลู  เป็นต้น  บริเวณที่ใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูก  ได้แก่  ที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง  แม่น้ำยม  และแม่น้ำน่าน
               เนื่องจากสภาพทางธรรมราชของบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำดังกล่าวนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก  เพราะมีน้ำน้อยในหน้าแล้ง  และเมื่อถึงฤดูน้ำจะมีน้ำปริมาณมากไหลบ่ามาท่วมขังเป็นเวลานาน  ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรไม่อุดมสมบูรณ์  ดังนั้น  สุโขทัยจึงรู้จักการสร้างที่เก็บกักน้ำ  แล้วค่อท่อน้ำจากคูเมืองไปสู่สระต่าง ๆ เพื่อระบายน้ำไปสู่พื้นที่เกษตรกรรม  ทำให้สามารถผลิตผลผลิตได้อุดมสมบูรณ์

          2.  หัตถกรรม
               หัตถกรรมที่สำคัญของสุโขทัยส่วนใหญ่เป็นการผลิต  เครื่องสังคโลก  หรือเครื่องปั้นดินเผา  เครื่องสังคโลกของสุโขทัยที่ผลิตได้  คือ  จาน  ชาม  และถ้วยต่าง ๆ นอกจากนั้นยังนิยมผลิตเครื่องสังคโลกในรูปแบบต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ซื้อ  เช่น  แจกัน  เหยือก  โถน้ำ  โอ่ง  ไห  เป็นต้น
               จากหลักฐานการขุดพบซากเตาเผาเครื่องสังคโลก  หรือเตาทุเรียงเป็นจำนวนมาก  ทำให้สันนิษฐานได้ว่า  แหล่งที่ผลิตเครื่องสังคโลกที่สำคัญมีอยู่ 2 แห่ง  คือ  กรุงสุโขทัย  และเมืองศรีสัชนาลัย
               และจากการพบซากเตาเผาเครื่องสังคโลกขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก  ทำให้สันนิษฐานได้ว่าเครื่องสังคโลกของสุโขทัยน่าจะเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมจากดินแดนต่าง ๆ ในสมัยนั้น

               3.  การค้าขาย
                    การค้าขายในสมัยสุโขทัยเป็นการค้าแบบเสรี  ทุกคนมีอิสระในการค้าขาย  รัฐไม่จำกัดชนิดสินค้าและไม่เก็บภาษีผ่านด่าน  ที่เรียกว่า  จกอบ  ผู้ใดอยากค้าขายอะไรก็ไม่มีการห้าม  มีการค้าสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น  ช้าง  ม้า  วัว  ควาย  เป็นต้น  ตลอดจนการค้าขายแร่เงินและแร่ทอง
                    นอกจากจะมีการค้าขายภายในราชอาณาจักรแล้ว  ยังมีการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้ากับอาณาจักรต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกอาณาจักรสุโขทัยอีกด้วย  เช่น  เมืองหงสาวดี  ตะนาวศรี  ล้านนา  กัมพูชา  มะละกา  ชวา  และจีน  เป็นต้น  สินค้าออกที่สำคัญ  ได้แก่  เครื่องสังคโบก  พริกไทย  น้ำตาล  งาช้าง  หนังสัตว์  นอแรด  เป็นต้น  ส่วนสินค้าส่วนใหญ่เป็นพวกผ้าไหม  ผ้าทอ  อัญมณี  เป็นต้น

ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อพัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการในสมัยสุโขทัย ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม - สภาพภูมิอากาศ สุโขทัยตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขา ทำให้อากาศไม่ร้อนจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีฝนตกชุกในฤดูมรสุม - ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า ของป่า และแร่ธาตุต่างๆ

การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยส่งผลต่ออาณาจักรไทยในสมัยต่อมาเป็นอย่างไรบ้าง

การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานี ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ความเจริญในด้านต่างๆ ทั้งด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จนเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรือง และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาของ คนไทยในสมัยต่อมา ซึ่งวัฒนธรรมบางส่วนของสุโขทัยก็ยังคงมีอิทธิพลจนถึงปัจจุบันด้วย

ปัจจัยที่ใดบ้างเอื้อต่อพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจของอาณาจักรสุโขทัย

พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจในอาณาจักรสุโขทัย มีปัจจัยเอื้อหนุนอยู่หลาย ประการ ดังนี้ 1. สภาพพื้นที่ของสุโขทัยส่วนใหญ่ ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงต้องมีการใช้.
การเกษตรกรรม ชาวสุโขทัยส่วนใหญ่จะทำการเพาะปลูก พืชหลักที่ปลูก ... .
การหัตถกรรม ส่วนใหญ่เป็นการผลิตเครื่องปั้นดินเผา หรือ เครื่องสังคโลก.

อะไรเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา

1.2 ปัจจัยที่เอื้อต่อการสถาปนากรุงศรีอยุธยา 1. ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ 2. การเป็นศูนย์กลางการคมนาคม 3. ความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ 4. ช่องว่างทางการเมือง

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก