อาหาร สำหรับ คน ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก

ทำไมหนอ...คนบางคนกินเยอะเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนเลยสักนิด ตรงข้ามกับใครอีกหลายคนที่แค่กินนิดๆ หน่อยๆ กลับอ้วนเอาๆ จะลดน้ำหนักทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ แถมลดได้ไม่นานก็กลับมาอ้วนอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากคุณกำลังคิดว่าเรื่องนี้คือเรื่องปกติ ขอให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะคุณอาจจะกำลังป่วยอยู่!

วิธีทางการแพทย์ที่ใช้ช่วยเหลือคนไข้ที่มีภาวะอ้วนให้กลับมามีน้ำหนักปกติเหมือนคนทั่วไปอีกวิธีหนึ่งคือ การผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหารด้วยวิธี Laparoscopic sleeve gastrectomy เป็นวิธีการผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหารให้เล็กลง ช่วยจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทาน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด

ใช่ว่าคนอ้วนจะสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ทุกคน เพราะแพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดโดยใช้ค่าดัชนีมวลกาย* (BMI) เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา โดยในคนปกติ BMI จะอยู่ที่ 18.5-24.9 กก./ตร.ม. คนที่มี BMI มากกว่า 30 กก./ตร.ม. ขึ้นไปถือว่าเป็นคนอ้วน แต่ยังไม่ถือว่าเป็นโรคอ้วน ส่วนคนที่มีค่า BMI อยู่ที่ 35 กก./ตร.ม. ขึ้นไปถือเป็นคนอ้วนขั้นรุนแรง และ BMI ที่ 40 กก./ตร.ม. ขึ้นไปถือเป็นโรคอ้วน ซึ่งคนที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 35 ขึ้นไปคือคนที่สมควรเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากมีผลการวิจัยมาแล้วพบว่าในคนกลุ่มนี้จะรักษาด้วยวิธีควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย หรือทานยาไม่ได้ผล เพราะในที่สุดก็จะกลับมาอ้วนอีก มีเพียงการผ่าตัดเท่านั้นที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้น้ำหนักลดลงได้ในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยให้อาการโรคเบาหวานและความดันในคนอ้วนดีขึ้นด้วย

ประโยชน์ของการผ่าตัด

ช่วยให้กระเพาะอาหารเล็กลง ผู้ป่วยจะรับประทานอาหารได้น้อยลงโดยไม่รู้สึกหิว และจะรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น จึงช่วยจำกัดปริมาณการบริโภคอาหารและนำไปสู่การลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนการผ่าตัด

การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ คล้ายกับการทำการผ่าตัดลดขนาด...ใส่แถบรัด กระเพาะอาหาร (Gastric Banding) แต่ทำการผ่าตัดกระเพาะให้มีรูปร่างคล้ายกล้วยหอมแทนการใส่แถบรัด (Banding) โดยตัดกระเพาะส่วนล่างออกไปจากร่างกาย .....บางส่วนออก.....คนไข้จึงมีขนาดกระเพาะที่เล็ก ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง สำหรับคนไข้ที่กังวลเรื่องของโภชนาการในระยะยาว ภาวะของเม็ดเลือดแดงในร่างกายที่มีผลทำให้ตัวซีดหากไม่ทานวิตามินเสริม หรือกังวลเรื่องของกระดูกที่อาจขาดแคลเซียม......ภาวะซีดจากเลือดน้อย หรือภาวะขาดแคลเซียมซึ่งทำให้กระดูกพรุน....ได้หากเข้ารับการผ่าตัดแบบบายพาส การผ่าตัดแบบ Sleeve ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนไข้ที่กังวลในเรื่องเหล่านี้

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

เนื่องจากการผ่าตัดนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาสลบ ดังนั้นจึงอาจมีความเสี่ยงได้เท่าๆ กับการผ่าตัดอื่น ส่วนภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าสมควรได้รับการผ่าตัดหรือไม่

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัด

1. ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องตรวจร่างกายและส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร เพื่อให้มั่นใจว่ามีสุขภาพแข็งแรงเพียงพอที่จะเข้ารับการผ่าตัด
2. เข้ารับคำแนะนำด้านโภชนาการ
3. เข้ารับการทดสอบสภาพจิตใจว่าพร้อมจะเข้ารับการผ่าตัดและพร้อมจะเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพหลังการผ่าตัดหรือไม่
4. ประเมินภาวะโรคที่เป็นอยู่ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคปอด เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถควบคุมโรคต่างๆ เหล่านี้ และเข้ารับการผ่าตัดได้
5. หากผู้ป่วยสูบบุหรี่ จะต้องหยุดสูบบุหรี่ก่อนการผ่าตัด 2-3 สัปดาห์ รวมถึงหลังการผ่าตัดด้วย เนื่องจากการสูบบุหรี่จะทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวช้าและเพิ่มความเสี่ยงของปัญหาต่างๆ
6. แจ้งแพทย์และพยาบาลหากไม่แน่ใจว่าตั้งครรภ์หรือไม่
7. หากกำลังรับประทานยา อาหารเสริม หรือสมุนไพร ควรปรึกษาแพทย์ว่าสามารถรับประทานยาชนิดใดได้บ้างและควรหยุดรับประทานยาชนิดใดก่อนการผ่าตัด
8. งดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืนในวันที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด หากมียาที่ต้องรับประทานตามแพทย์สั่ง ให้รับประทานยาพร้อมจิบน้ำน้อยๆ

การปฏิบัติตัวหลังการผ่าตัด

หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะถูกนำมาที่ห้องพักฟื้น โดยอาจมีการใช้หน้ากากออกซิเจนเพื่อช่วยในการหายใจ ผู้ป่วยอาจยังมีความรู้สึกงัวเงียหลังจากรู้สึกตัวแล้ว และจะมีสายน้ำเกลือที่แขนเพื่อให้อาหารและสารน้ำทางเส้นเลือดจนกว่าผู้ป่วยจะรับประทานอาหารได้ ขณะอยู่ในห้องพักฟื้น พยาบาลจะคอยตรวจเช็กชีพจรและวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ และจะย้ายผู้ป่วยไปยังห้องพักเมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น หากผู้ป่วยรู้สึกคลื่นไส้ควรแจ้งพยาบาล โดยทั่วไปผู้ป่วยจะพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 3 วัน แต่ขึ้นกับความสมบูรณ์ของร่างกายของผู้ป่วยหลังการผ่าตัด หากผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดหรือต้องเข้ารับการผ่าตัดเพิ่มเติม อาจต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการควบคุมอาหารทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยจะได้รับแผนการรับประทานอาหารจากแพทย์และต้องเข้ารับคำปรึกษาจากนักโภชนาการ โดยทั่วไปแล้วควรปฏิบัติดังนี้ หลังผ่าตัดสัปดาห์แรก ผู้ป่วยจะรับประทานได้แต่อาหารเหลว เช่น ซุปใส ชา กาแฟ.... เครื่องดื่มที่ไม่เติมน้ำตาลและไม่อัดลม น้ำผัก น้ำผลไม้ โยเกิร์ต แต่ผู้ป่วยจะต้องจำกัดปริมาณสารน้ำที่ได้รับในแต่ละครั้ง และให้รับประทานครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง ใน 2 สัปดาห์ถัดมา ผู้ป่วยจะได้รับการจำกัดให้รับประทานอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ เช่น ข้าวต้ม หลังจากนั้นจะปรับเปลี่ยนเป็นอาหารปกติ แต่ควรรับประทานในปริมาณน้อยๆ เคี้ยวอาหารให้ละเอียดและนานกว่าปกติก่อนกลืน และไม่ควรดื่มน้ำพร้อมกับการรับประทานอาหาร ควรดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร 15-30 นาที  ผู้ป่วยจะได้รับรายละเอียดผลการผ่าตัดในภายหลัง และจะต้องกลับมาพบแพทย์อีกครั้งเพื่อตรวจเช็กหากจำเป็น โดยปกติแล้วแพทย์จะทำการนัดให้ผู้ป่วยกลับมาตรวจเป็นระยะๆ โปรดตระหนักว่ารูปแบบการใช้ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากต่อการที่จะประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักการผ่าตัดโรคอ้วนนั้นเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยการควบคุมหลังจากนั้น

แนวทางการรับประทานอาหาร

รับประทานอาหาร 3 มื้อต่อวัน และจำกัดอาหารว่างที่ไม่จำเป็นระหว่างมื้อ การลดน้ำหนักจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณรับประทาน อาหารว่างที่ไม่มีประโยชน์ระหว่างมื้อ (เช่น ขนมกรุบกรอบต่างๆ) หรือการรับประทานบ่อยครั้ง จะทำให้การลดน้ำหนักไม่ประสบความสำเร็จ และอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเนื่องจากได้รับปริมาณแคลอรี่มากเกินความจำเป็น

รับประทานอาหารให้ช้าลง และเคี้ยวให้ละเอียด การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดจะทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ การเคี้ยวให้ละเอียดเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องละเอียดจนเหลวเท่านั้น และควรตัดอาหารให้เป็นชิ้นเล็กๆก่อนรับประทาน หรืออาจจะหยุดพัก 1 นาทีก่อนรับประทานคำต่อไป และควรใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีในการรับประทานอาหารต่อมื้อ

หลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำตาล การอ่านฉลากอาหารเป็นเรื่องจำเป็น ทำให้ทราบว่า น้ำตาลในอาหารชนิดนั้นเป็นน้ำตาลแบบธรรมชาติหรือน้ำตาลเทียม และควรจำกัดปริมาณน้ำตาลให้เหลือเพียง 15 กรัม หรือน้อยกว่านั้น ต่อการรับประทานหนึ่งมื้อ เพื่อช่วยควบคุมแคลอรี่ในอาหาร

หมายเหตุ:

*ดัชนีมวลกาย (BMI: Body Mass Index) เป็นตัวชี้วัดสภาวะของร่างกายว่ามีความสมดุลของน้ำหนักตัวต่อส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ สามารถคำนวณได้โดย นำน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูงยกกำลังสอง (เมตร)   BMI = น้ำหนักตัว (kg) / ส่วนสูง m2

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก