คำแนะนำเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง
1) ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโรค
ความดันโลหิต คือแรงดันในการส่งเลือดในหลอดเลือดแดงไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ในการวัดความดันจะมีค่า 2 ค่า
ความดันตัวบน (แรงดันเลือดขณะหัวใจห้องซ้ายล่างบีบตัว)
ความดันตัวล่าง (แรงดันเลือดขณะหัวใจห้องซ้ายล่างคลายตัว)
ซึ่งในคนปกติไม่ควรจะเกิน 130/85 มม.ปรอท ระดับความรุนแรงของความดันโลหิตที่สูง ให้พิจารณาจากค่าความดันตัวบนและความดันตัวล่าง ทั้ง 2 ค่า โดยถือระดับความดันโลหิตที่สูงกว่าเป็นเกณฑ์
ระดับความดันโลหิต | ความดันตัวบน (ม.ม. ปรอท) | ความดันตัวล่าง (ม.ม. ปรอท) |
ระดับ 1 สูงอย่างอ่อน | 140 – 159 | 90 – 99 |
ระดับ 2 สูงปานกลาง | 160 – 179 | 100 – 109 |
ระดับ 3 สูงรุนแรง | ตั้งแต่ 180 ขึ้นไป | ตั้งแต่ 110 ขึ้นไป |
สาเหตุ มากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จะตรวจไม่พบสาเหตุ เชื่อว่าเกิดจาก 2 ปัจจัยใหญ่ คือ
กรรมพันธุ์ พบว่าผู้ที่มีบิดาหรือมารดาเป็นความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงได้มากกว่าผู้ที่บิดามารดาไม่เป็น ยิ่งกว่านั้นผู้ที่มีทั้งบิดาและมารดาเป็นความดันโลหิตสูง จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมากที่สุด ผู้สูงอายุก็มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงเมื่ออายุมากขึ้น ๆ
สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยที่แก้ไขได้ เช่น ภาวะอ้วน เบาหวาน การรับประทานอาหารเค็ม การดื่มสุรา และสูบบุหรี่ ภาวะเครียด
เป็นต้น
ส่วนความดันโลหิตที่มีสาเหตุพบได้น้อยกว่าร้อยละ 10 ผู้ป่วยในกลุ่มนี้แม้จะพบจำนวนน้อยแต่ก็มีความสำคัญ
เพราะบางโรครักษาให้หายได้ และ สาเหตุที่พบบ่อย คือ โรคไต หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตตีบ ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด หลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจตีบและเนื้องอกของต่อมหมวกไต เป็นต้น
อาการ ความดันโลหิตสูงระดับอ่อน หรือปานกลาง มักจะไม่มีอาการ แต่มีการทำลายอวัยวะต่าง ๆ ไปทีละน้อยอย่างช้า ๆ จนผู้ป่วยเกิดผลแทรกซ้อนในที่สุด เช่น หัวใจล้มเหลว หัวใจขาดเลือด ไตเสื่อมสมรรถภาพ หรืออัมพาต อัมพฤกษ์ ภาวะความดันโลหิตสูงจึงมักได้รับการขนานนามว่า “ฆาตกรเงียบ” ความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้
เช่น เลือดกำเดาออก ตามองไม่เห็นข้างหนึ่งชั่วคราว เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก เวียนศีรษะ ปวดศีรษะตุบ ๆ เป็นต้น แต่อาการเหล่านี้ไม่จำเพาะ เพราะอาจเกิดจากสาเหตุอื่นก็ได้ เช่น ไข้ เครียด ไมเกรน เป็นต้น เมื่อเกิดอาการผิดปกติควรไปปรึกษาแพทย์ เพราะถ้าพบความดันโลหิตสูงมากจะได้รับการรักษาได้ถูกต้องและทันท่วงที ซึ่งเมื่อความดันโลหิตลดลงมาเป็นปกติ อาการดังกล่าวจะหายไป
2) การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย/ผู้ทีความเสี่ยง
1. ควบคุมอาหาร การลดน้ำหนักสามารถช่วยลดความดันโลหิตและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แม้ท่านจะไม่จัดว่าอ้วน แต่การลดอาหารประเภทไขมันก็เป็นสิ่งที่ดี
n หลีกเลี่ยงหรือลดการใช้เนยไขมัน และน้ำมันในการปรุงอาหาร
n หลีกเลี่ยงอาหารทอดให้รับประทานอาหารประเภทอบ นึ่ง ต้ม แทน
n รับประทานอาหารประเภทผัก ถั่ว ผลไม้ ให้มากขึ้น
n หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา
n ดื่มน้ำ กาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน นม พร่องไขมัน และน้ำผลไม้
2. รับประทานอาหารที่ไม่เค็มจัด จะทำให้ความดันโลหิตสูง และไต ทำงานหนัก การลดปริมาณเกลือในอาหารควรปรึกษาแพทย์ของท่านก่อน
n หลีกเลี่ยงอาหารประเภทของดองเค็ม เนื้อเค็ม ซุปกระป๋อง ซอสมะเขือเทศ อาหารที่โรยเกลือมาก ๆ
n ใช้เครื่องเทศแทนเกลือ หรือผลชูรส
n รับประทานอาหารว่าง ที่มีเครื่องหมาย “เกลือต่ำ”(Low Salt) หรือ “ปราศจากเกลือ” (Salt – Free)
3. หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เครียด พยายามตอบสนองอย่างมีสติ และนุ่มนวลต่อสภาพที่เครียด ซึ่งท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือหลีกเลี่ยงได้
4. หยุดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่สำคัญของการเกิดมะเร็งในปอด อัมพาตโรคหัวใจขาดเลือด และความดันโลหิตสูงได้ บุหรี่ทำให้เกิดการทำลาย และส่งเสริมการหดตัวของหลอดเลือดทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดอัมพาต
5. งด หรือ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ควรงดหรือดื่มในปริมาณน้อย เช่น ในวันหนึ่ง ๆ ไม่ควรดื่มสุราเกิน 60 ลบ.ซม.
6. ออกกำลังกายแต่พอประมาณ การเดินวันละ 20 – 30 นาที จะช่วยท่านลดน้ำหนักได้ ช่วยทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และป้องกันโรคของหลอดเลือดได้ ก่อนเริ่มออกกำลังกายใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ของท่านก่อน
7. รับประทานยาให้สม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง
n แจ้งให้แพทย์ของท่านทราบถึงยาต่าง ๆ ที่ท่านรับประทานอยู่ เช่นยาคุมกำเนิด ยาแก้ปวด เป็นต้น
n รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
n หากมียาชนิดใดที่ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ ควรจะแจ้งให้แพทย์ของท่านทราบทันที เพราะท่านอาจต้องการยาในขนาดที่ลดลง หรือเปลี่ยนยา
n รับประทานยาให้สม่ำเสมอจนกว่าแพทย์ของท่านจะบอกให้หยุด
8. ตรวจวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ
กรณีท่านมีเครื่องวัดความดันโลหิตที่บ้าน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเรียนรู้วิธีวัดความดันโลหิตที่ถูกต้อง
3) การป้องกันไม่ให้เกิดโรค
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- เลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ อาหารไขมันต่ำ จะให้พลังงานน้อย อาหารที่ให้พลังงานมากควรหลีกเลี่ยงได้แก่ เนย น้ำสลัด เนื้อติดมัน เนื้อติดหนัง นมสด ของทอด เช่นปลาท่องโก๋ กล้วยแขก ไก่ทอด เค้ก คุกกี้ ให้เลือกอาหารที่มีพลังงานน้อยเช่น ใช้อบหรือเผาแทนการทอด เลือกไก่ไม่ติดหนัง ปลา ดื่มนมพร่องมันเนยแทนนมสด รับประทานผักให้มาก
- เลือกอาหารที่มีแป้งและใยให้มาก
- ใช้จานใบเล็กและห้ามตักครั้งที่สอง ควรจดรายการอาหารที่รับประทานทุกครั้ง ไม่ควรรับประทานอาหารว่างขณะดูทีวี ไม่ควรงดอาหารมื้อหนึ่งแล้วชดเชยมื้อต่อไป
- ให้เพิ่มออกกำลังกายเพิ่ม การออกกำลังกายหรือการทำงานบ้านจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน ทำให้น้ำหนักลดตารางข้างล่างจะแสดงพลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกาย
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
· วิธีการออกกำลังกายใช้รออกแบบ aerobic exercise มีการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่นการเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ ขี่จักรยาน
· ความถี่ของการออกกำลังกาย3-5วัน/สัปดาห์
· ระยะเวลาที่ออกกำลังกาย20-60 นาที
· ความหนักของการออกกำลังกายอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 60%-90%ของอัตราเต้นเป้าหมาย
เลือกอาหารที่มีเกลือต่ำ
การลดอาหารเค็มจะช่วยป้องกันและลดความดันโลหิตได้ โดยทั่วไปห้ามกินเกลือเกิน 6 กรัมหรือ 1 ช้อนชา(เท่ากับ โซเดียม 2400 มิลิกรัม) แต่แนะนำให้รับประทานเกลือ 1500 มิลิกรับเทียมเท่าปริมาณเกลือ 4 กรัมหรือ2/3 ช้อนชาท่านผู้อ่านไม่ควรปรุงรสอาหารก่อนชิมอาหาร หากปรุงรสอาหารเองต้องเติมเกลือให้น้อยที่สุด ตัวอย่างอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น ปลาเค็ม ไข่เค็ม ผักดอง กะปิ เต้าเจี้ยว ไตปลา เต้าหู้ยี้ ผงชูรส
จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ จากการศึกษาพบว่าปริมาณสุราที่ดื่มจะมีส่วนสัมพันธ์กับระดับความดันโลหิต สำหรับผู้ที่ดื่มสุราปริมาณปานกลาง ระดับความดันโลหิตจะลดลงในช่วง 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะกลับสู่ปกติ สำหรับผู้ที่ดื่มสุราอย่างมาก (ประมาณห้าเท่าของที่แนะนำ) จะพบว่าระดับความดันโลหิตจะสูงหลังจากหยุดสุรา ดังนั้นจะพบว่าหลังจากดื่มสุรามากในวันหยุดจะมีความดันสูงในวันทำงาน การลดสุราจะทำให้ระดับความดันโลหิตลดลง ผู้ชายให้ดื่มไม่เกิน 2 drink(20–30 g ethanol per day) ผู้หญิงไม่เกิน 1 drink(10–20 g ethanol per day) 1 drink เท่ากับ
1. วิสกี้ 45 มล.
2. ไวน์ไม่เกิน 150 มล..
3. เบียร์ไม่เกิน300 มล.
งดสูบบุหรี่เป็นวิธีการที่ได้ผลดีในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
จัดการเรื่องความเครียด ควรมีการผ่อนคลายความเครียดเช่น ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
ผลแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง ภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นอยู่นานและไม่ได้รับการรักษา จะทำให้เกิดการทำลายของอวัยวะสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ในร่างกายได้ เช่น หัวใจ สมอง ไต หลอดเลือด และตา เป็นต้น เพราะความดันโลหิตที่สูงที่เป็นอยู่นาน จะทำให้ผนังหลอดแดงหนาตัวขึ้น และรูเล็กลง ทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ลดลง ส่งผลให้อวัยวะเหล่านี้ทำงานได้ไม่เป็นปกติ
1. หัวใจ ความดันโลหิตสูงจะมีผลต่อหัวใจ 2 ทาง คือทำให้หัวใจโต และหลอดเลือดหัวใจหนาตัว
และแข็งตัวขึ้น ทำให้เกิดการเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจล้มเหลวทำให้มีอาการเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ หรือหัวใจเต้นผิดปกติ ทำให้มีอาการใจสั่น
2. สมอง ความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุของอัมพาต อัมพฤกษ์ ซึ่งมักจะเกิดจากหลอดเลือดเล็ก ๆ อุดตัน โดยเกล็ดเลือดซึ่งพบบ่อยหรือเกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก ทำให้เลือดออกในเนื้อสมอง
3. ไต เป็นอวัยวะที่มีหลอดเลือดมากที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่กรองของเสีย ออกจากเลือด ความดันโลหิตสูงก็มีผลต่อหลอดเลือดที่ไต เช่นเดียวกับหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไปเลี้ยงที่ไตไม่เพียงพอ มีผลให้ไตเสื่อมสมรรถภาพจนถึงขั้นไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการเริ่มแรกของภาวะไตวายเรื้อรัง คือปัสสาวะบ่อย ตอนกลางคืน ขาบวมตอนสาย หากเป็นมากจะมี อาการอ่อนเพลีย ไม่คอยมีแรงจากภาวะซีด ซึ่งมักพบในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง และคลื่นไส้ อาเจียน ซึมลงในผู้ป่วยไตวายระยะท้าย ๆ
4. ตา ความดันโลหิตสูงจะมีผลต่อหลอดเลือดที่ตา เช่น เลือดออกที่จอตา หลอดเลือดเล็ก ๆ ที่จอตาอุดตัน หรือทำให้จอตาหลุดลอกออกได้ ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใด ๆ หรือตามัว จนถึงตาบอดได้ เบาหวาน ซึ่งมักพบร่วมกับความดันโลหิตสูง จะทำให้เกิดผลแทรกซ้อนทางตา
5. หลอดเลือด ความดันโลหิตสูงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดทั่วร่างกาย ทำให้หลอดเลือดไปเลี้ยงบริเวณแขนขา และอวัยวะภายในลดลง ผู้ป่วยเดินไม่ได้ไกลเพราะปวดขาจากการขาดเลือด ต้องนั่งพักจึงจะหายและเดินต่อได้