แต่การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้มักมีปัญหาที่พบบ่อย คือ การลืมรับประทานยา คำถามที่ตามมาก็คือ “ลืมกินยาคุม 1 วันทำไงดี ? 2 วันทำไงดี ?” เรามีคำตอบ
เริ่มกินยาคุมเม็ดแรกวันไหนดี ?
สำหรับการรับประทานยาคุมกำเนิดรายเดือนทั้งแบบ 21 เม็ด และ 28 เม็ด ควรเริ่มรับประทานภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน จากนั้นให้รับประทานต่อเนื่องจนหมดแผง สำหรับยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ดนั้น ให้เริ่มรับประทานยาแผงต่อไปได้ทันทีที่แผงแรกหมด ส่วนยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด เมื่อรับประทานหมดแผงแล้วให้เว้นไป 7 วัน จากนั้นค่อยเริ่มรับประทานยาแผงใหม่
หากลืมกินยาคุม ต้องทำไง ?
การรับประทานยาคุมแบบรายเดือนนั้นต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องทุกวัน จึงอาจทำให้เกิดการหลงลืมรับประทานยาคุมได้ หากเกิดการลืมรับประทานยาคุมขึ้นมา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
กรณีลืมยาเม็ดที่มีฮอร์โมน 1 เม็ด แต่นึกได้ภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมงนับจากเวลาที่ควรรับประทานตามปกติ
ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
- รับประทานยาเม็ดที่ลืมทันทีที่นึกได้
- รับประทานยาเม็ดที่เหลือต่อไปตามปกติ (หรืออาจรับประทานยา 2 เม็ด ในวันที่นึกได้)
- ไม่จำเป็นต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย ยกเว้นกรณีที่ยาเม็ดที่ลืมนั้นอยู่ในช่วงเม็ดที่ 1 - 7 หรือเม็ดที่ 15 - 21 ของแผง หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันในช่วงเดียวกันนี้ อาจใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน (Emergency Contraceptives) หลังมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย
กรณีลืมรับประทานยาที่มีฮอร์โมนติดต่อกันตั้งแต่ 2 เม็ดขึ้นไป และลืมรับประทานยานานกว่า 48 ชั่วโมงขึ้นไป
ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
- ให้รับประทานเฉพาะยาเม็ดที่เพิ่งลืมทันทีที่นึกได้ และทิ้งเม็ดยาที่ลืมก่อนหน้านั้น
- รับประทานยาเม็ดฮอร์โมนที่เหลือต่อไปตามเวลาปกติ (หรืออาจรับประทานยา 2 เม็ด ในวันที่นึกได้)
- ใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย หรืองดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับประทานยาเม็ดฮอร์โมนต่อเนื่องแล้วอย่างน้อย 7 วัน
- หากลืมรับประทานยาในช่วงเม็ดที่ 15 - 21 ของแผง ให้รับประทานยาเม็ดที่มีฮอร์โมนในแผงเดิมให้หมด แล้วเริ่มรับประทานยาเม็ดที่มีฮอร์โมนแผงใหม่ในวันรุ่งขึ้น สำหรับยาคุมแบบ 28 เม็ด ไม่ต้องรับประทานเม็ดที่ไม่มีฮอร์โมนในแผงเดิม หากไม่สามารถเริ่มรับประทานยาแผงใหม่ได้ทันที ให้ใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย หรืองดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรับประทานยาเม็ดฮอร์โมนคุมกำเนิดต่อเนื่องแล้วอย่างน้อย 7 วัน
- หากลืมรับประทานยาในช่วงเม็ดที่ 1 - 7 ของแผง แล้วมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันใน 5 วันที่ผ่านมา ควรใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินหลังมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย
- หากมีการอาเจียนหรือท้องร่วงรุนแรงหลายครั้ง ให้รับประทานยาคุมต่อไปแต่ต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย หรืองดมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างนั้น หลังจากอาการดังกล่าวหายแล้ว ให้คุมกำเนิดต่อไปอีก 1 สัปดาห์ 2. กรณีลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิดที่มี Ethinylestradiol 30-35 ไมโครกรัม 3 เม็ดขึ้นไป (หรือเริ่มกินแผงใหม่ช้าไป 3 วันขึ้นไป) หรือยาที่มี Ethinylestradiol 20 ไมโครกรัม 2 เม็ด (หรือเริ่มกินแผงใหม่ช้าไป 2 วัน) ให้รับประทานยาเม็ดที่ลืมล่าสุดทันทีที่นึกได้ ส่วนยาเม็ดอื่นที่ลืมก่อนหน้านั้นให้ทิ้งไป และรับประทานยาเม็ดถัดไปตามเวลาปกติ แต่ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรือหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะได้รับประทานยาเม็ดที่มีฮอร์โมนติดต่อกันเป็นเวลา 7 วันแล้ว และให้พิจารณาเพิ่มเติมดังนี้
การมีเพศสัมพันธ์อาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยเติมเต็มรสชาติชีวิตคู่ได้ดี แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากการป้องกัน เพราะอาจนำมาซึ่งการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้ คู่รักหลายคู่จึงยังเลือกที่จะคุมกำเนิดในระหว่างที่ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยกัน จนกว่าจะมีความพร้อมสำหรับการมีบุตร
การ “ฉีดยาคุมกำเนิด” เป็นอีกวิธีคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับการกินยาคุมกำเนิดหรือการใส่ถุงยางอนามัย วิธีนี้ก็อาจยังไม่เป็นที่รู้จักในคู่รักบางคู่
ในบทความนี้ HDmall.co.th จึงจะมาเจาะลึกการฉีดยาคุมให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้น เพื่อที่อาจจะเป็นอีกทางเลือกในการป้องกันโอกาสตั้งครรภ์ได้อีกรูปแบบหนึ่ง
เลือกหัวข้อที่สนใจเกี่ยวกับการฉีดยาคุมกำเนิดที่นี่
ขยาย
ปิด
ฉีดยาคุมกำเนิดคืออะไร?
การฉีดยาคุมกำเนิด (Injectable Contraceptive) คือ การป้องกันการตั้งครรภ์โดยฉีดยายับยั้งการตกไข่ รวมถึงทำให้ระบบสืบพันธุ์ในร่างกายเพศหญิงเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของเชื้ออสุจิฝ่ายชาย ทำให้ยากต่อการเข้าปฏิสนธิกับไข่ได้สำเร็จ
ยาคุมกำเนิดสำหรับฉีดมีกี่แบบ?
ชนิดของยาคุมกำเนิดสำหรับฉีดแบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่
- ยาคุมกำเนิดชนิดประกอบไปด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียว (Progestin - Only Injectable Contraceptives) ส่วนมากนิยมฉีดที่ผิวชั้นกล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน สะโพก หน้าท้อง ต้นขา มีทั้งแบบฉีดทุก 2 เดือน (ทุก 8 สัปดาห์) และฉีดทุก 3 เดือน (ทุก 12 สัปดาห์) จุดเด่นของยาคุมชนิดนี้ คือ มีระยะเวลาออกฤทธิ์นาน ไม่ต้องกลับมาฉีดบ่อย แต่ก็มีจุดด้อยคือมักจะทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ มาน้อย หรืออาจขาดหายไปเลยเป็นระยะเวลาหนึ่ง และอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัวได้
- ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Injectable Contraceptives) ในตัวยาจะประกอบไปด้วยสารฮอร์โมนกลุ่มเอสโตรเจน (Estrogen) กับสารฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสติน ความถี่ในการฉีดจะอยู่ที่ทุกๆ 1 เดือน ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีจุดเด่นตรงที่ไม่กระทบต่อการมาของประจำเดือน จึงช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ลงไปได้ แต่ก็มีจุดด้อยตรงที่ต้องมาฉีดที่สถานพยาบาลอยู่เรื่อยๆ ทุก 1 เดือนจนกว่าจะเลิกคุมกำเนิด
ปัจจุบันมีหน่วยงานหลายแห่งลองผลิตยารูปแบบฉีดด้วยตัวเองออกมาจำหน่าย แต่ก็ยังคงมีการแนะนำให้ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดเดินทางมาฉีดยาคุมกับเจ้าหน้าที่ที่สถานพยาบาลจึงจะปลอดภัยที่สุด
ยาฉีดสำหรับคุมกำเนิดทำงานอย่างไร?
หลังจากฉีดยาคุมกำเนิดเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ตัวยาซึ่งประกอบไปด้วยสารฮอร์โมนสำคัญจะเข้าไปปรับสภาพอวัยวะสืบพันธุ์ที่เอื้ออำนวยต่อการตั้งครรภ์ ทำให้ยากต่อการปฏิสนธิระหว่างเชื้ออสุจิกับไข่
โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยหลักๆ หลังจากฉีดยาคุม จะได้แก่
- เพิ่มระดับการบีบตัวของท่อนำไข่และตัวมดลูก
- ทำให้สภาพโพรงมดลูกไม่พร้อมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน หากเกิดการปฏิสนธิสำเร็จ
- ขัดขวางการเคลื่อนตัวของเชื้ออสุจิที่จะวิ่งไปผสมกับไข่ ผ่านการปรับความเหนียวข้นในสารมูก ซึ่งเป็นของเหลวที่ปากมดลูกให้ข้นหนืดขึ้น และทำให้เชื้ออสุจิวิ่งผ่านไปไม่ได้
- ลดระดับการทำงานและจำนวนต่อมผลิตสารคัดหลั่งในเยื่อบุโพรงมดลูก
- ทำให้ถุงน้ำคอร์ปัส ลูเทียม (Corpus Luteum) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนให้พร้อมต่อการตั้งครรภ์ทำงานลดลง ทำให้มดลูกไม่พร้อมต่อการฝังตัวและเกิดการตั้งครรภ์ได้สำเร็จ
ข้อดีของการฉีดยาคุมกำเนิด
หากคุณกำลังเปรียบเทียบการฉีดยาคุมกำเนิดกับวิธีคุมกำเนิดวิธีอื่น การฉีดยาคุมกำเนิดมีข้อดีที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
- มีโอกาสตั้งครรภ์ต่ำมาก โดยมีความเสี่ยงที่จะคุมกำเนิดพลาดเพียง 0.2-0.3% เท่านั้น
- ไม่ต้องมาฉีดบ่อย ต่างกับวิธีกินยาคุมกำเนิดที่ต้องกินทุกวันไม่ให้ขาด
- ใช้ได้แพร่หลายกับผู้หญิงแทบทุกคน มีข้อจำกัดค่อนข้างน้อย หญิงที่กำลังให้นมบุตรก็สามารถฉีดยาคุมกำเนิดได้เช่นกัน โดยตัวยาจะไม่รบกวนส่วนประกอบในน้ำนมแต่อย่างใด
- สามารถเผื่อเวลาในการฉีดออกไปได้ กรณีที่ไม่สะดวกไปฉีดตามนัดในทันที เพราะยาจะมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์เหลื่อมกับการฉีดครั้งถัดไปประมาณ 2 สัปดาห์ เช่น ยาคุมแบบฉีดทุกๆ 8 สัปดาห์ แต่จริงๆ แล้วตัวยาจะออกฤทธิ์นาน 10 สัปดาห์ ซึ่งจะยังพอยืดระยะเวลาในการฉีดครั้งถัดไปออกไปได้อีก
- ลดโอกาสเกิดโรคประจำตัวหรืออาการผิดปกติร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน โรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งในเยื่อบุมดลูก ภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน
- บรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ เพราะยาคุมกำเนิดแบบฉีดบางชนิดจะทำให้ประจำเดือนไม่มาในช่วงเวลาหนึ่ง
ข้อเสียของการฉีดยาคุมกำเนิด
ถึงแม้ยาคุมกำเนิดแบบฉีดจะขึ้นชื่อเรื่องความสะดวกสบาย แต่ก็ยังมีข้อเสียหลายประการที่คุณจำเป็นต้องรู้ เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่าและความเหมาะสมในการไปใช้บริการ
- ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวนจนเกิดอาการแสดงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น รอยฝ้าบนผิวหน้า เป็นสิว ปวดศีรษะ ตึงคัดเต้านม อารมณ์แปรปรวน อารมณ์ทางเพศลดลง มวลกระดูกหนาแน่นน้อยลง น้ำหนักตัวเพิ่ม แต่อาการเหล่านี้มักจะบรรเทาลงเอง เมื่อคุณหยุดฉีดยาคุมกำเนิด
- รู้สึกเจ็บ เพราะเป็นการคุมกำเนิดผ่านการฉีดยาเข้าหลอดเลือด
- ยังทำให้กังวลต่อการตั้งครรภ์ได้อยู่ เพราะฤทธิ์ยาจะทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ จึงอาจเกิดความรู้สึกหวาดระแวงได้บ้าง หรือต้องตรวจการตั้งครรภ์เพื่อความมั่นใจ
- อาจทำให้ลืมนัดได้ เพราะระยะเวลาในการนัดฉีดยาคุมกำเนิดโดยปกติจะอยู่ที่ 1-2 เดือนขึ้นไป หากไม่มีการบันทึกหรือแจ้งเตือนนัดหมายล่วงหน้า ก็จะทำให้ลืมไปฉีดและมีโอกาสตั้งครรภ์ได้
- ยาออกฤทธิ์ค่อนข้างนาน ผู้ที่เปลี่ยนใจอยากมีลูกขึ้นหลังฉีดยาคุมไปแล้วอาจต้องรอนานถึง 1 ปีจนกว่าร่างกายจะกลับมาพร้อมต่อการตั้งครรภ์ได้อีกครั้ง รวมถึงต้องอดทนต่ออาการไม่พึงประสงค์เป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจทำให้รู้สึกอัดอัดใจในระหว่างที่รอให้ยาหมดฤทธิ์ได้
- ไม่ลดโอกาสเกิดโรคติดต่อทางเพสสัมพันธ์ได้ หากคุณมีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือใช้บริการกับผู้ให้บริการทางเพศ ก็จำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัยอยู่
ใครเหมาะต่อการฉีดยาคุมกำเนิด
การฉีดยาคุมกำเนิดเหมาะกับผู้หญิงแทบทุกคนที่ต้องการคุมกำเนิด แต่จะมีความพิเศษที่เหมาะสมยิ่งกว่าในกลุ่มผู้หญิงดังต่อไปนี้
- ผู้หญิงที่มีบุตรแล้วและต้องการคุมกำเนิด เนื่องจากหากต้องการมีบุตรหลังฉีด อาจต้องรอนานเป็นหลักปีจึงจะกลับมาตั้งครรภ์ได้อีกครั้ง
- ผู้หญิงที่ไม่สะดวก หรือมีโอกาสลืมกินกินยาคุมแบบเม็ด หรือลืมการคุมกำเนิดแบบอื่นๆ ก่อนมีเพศสัมพันธ์
- ผู้หญิงที่ต้องการคุมกำเนิดแบบระยะยาว
- ผู้หญิงที่ไม่ต้องการให้ยาคุมกำเนิดมีกระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์
- ในกรณีที่เพิ่งแท้งบุตร และต้องการฉีดยาคุมกำเนิด สามารถฉีดได้ภายใน 5 วันหลังแท้ง
ใครไม่เหมาะต่อการฉีดยาคุมกำเนิด
เงื่อนไขการฉีดยาคุมกำเนิดอาจไม่เหมาะต่อกลุ่มผู้เข้ารับบริการบางท่าน รวมถึงผู้ทีมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น
- หญิงตั้งครรภ์ หรือที่มีความเสี่ยงจะเกิดการตั้งครรภ์ ต้องตรวจครรภ์ในแน่ใจก่อนฉีดยา
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกทางช่องคลอด หรือทางเดินปัสสาวะ
- ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม
- ผู้ป่วยโรคตับ
- ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับลิ่มเลือด โรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด
- ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
- ผู้ที่กลัวหรือไม่ชอบการใช้เข็มฉีดยา อาจรู้สึกไม่สบายใจในการไปใช้บริการได้
หากคุณคือกลุ่มผู้ที่เคยหรือกำลังเผชิญโรคเหล่านี้ ให้แจ้งประวัติด้านสุขภาพและปรึกษากับแพทย์โดยตรงก่อนตัดสินใจรับบริการ มิฉะนั้นฤทธิ์ของยาอาจไปกระตุ้นอาการของโรคให้รุนแรงกว่าเดิมได้
การเตรียมตัวก่อนฉีดยาคุมกำเนิด
เพื่อให้ยาคุมกำเนิดออกฤทธิ์ได้สูงสุดและไม่กระทบต่อสุขภาพ คุณควรตรวจเช็กร่างกายให้พร้อมเสียก่อน
- ตรวจครรภ์ให้แน่ใจเสียก่อน เพื่อความมั่นใจว่า ไม่ได้ตั้งครรภ์ก่อนฉีดยาคุมกำเนิด
- ตรวจเช็กรอบประจำเดือน เพราะวันที่เหมาะสมที่สุดในการฉีดยาคุมกำเนิด คือ 5 วันแรกของการมีประจำเดือน
- หากต้องการฉีดยาคุมกำเนิดนอกเหนือจากวันที่ 1-5 ของการมีประจำเดือน ให้งดมีเพศสัมพันธ์ 7 วันแรกก่อนฉีดยาคุม หรือหากต้องการมีเพศสัมพันธ์จริงๆ ให้คุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น สวมถุงยางอนามัย
- ในกรณีที่กำลังจะคลอดบุตรในไม่ช้า สามารถฉีดยาคุมกำเนิดได้ทันทีหรือภายใน 21 วันหลังคลอดบุตร โดยอาจประสานงานกับแพทย์หรือโรงพยาบาลไว้ล่วงหน้าก่อน
- ตรวจสุขภาพเพื่อหาความเสี่ยงโรคประจำตัวอื่นๆ ที่คุณอาจไม่รู้เสียก่อน
- ปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการงดยาประจำตัว วิตามินเสริม สมุนไพรเสริมสุขภาพ รวมถึงแจ้งประวัติด้านสุขภาพอย่างละเอียดก่อนฉีดยาด้วย
ขั้นตอนการฉีดยาคุมกำเนิด
ขั้นตอนการฉีดยาคุมกำเนิดไม่มีอะไรซับซ้อน และแทบไม่ต่างจากการฉีดวัคซีนทั่วไป โดยแพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่ฉีด จากนั้นก็จะใช้เข็มบรรจุยาคุมกำเนิดฉีดลงไปที่กล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเป็นบริเวณต้นแขน หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก ขึ้นอยู่กับการประเมินความเหมาะสมของแพทย์ผู้ฉีดอีกครั้ง
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดยาคุมกำเนิด
ถึงแม้ฉีดยาคุมกำเนิดไปแล้ว แต่ก็ยังต้องมีข้อปฏิบัติบางอย่างที่คุณควรทำตาม เพื่อลดโอกาสการตั้งครรภ์ที่ยังมีอยู่เล็กน้อย
- 7 วันแรกหลังฉีดยาคุมกำเนิด ควรงดมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยยังมีการป้องกันวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การสวมถุงยางอนามัย
- งดการนวด กด คลึงผิวบริเวณที่ฉีดยาคุมกำเนิด เพราะจะไปกระตุ้นทำให้ยาดูดซึมเร็วเกินไป และหมดฤทธิ์เร็วเกินกว่าที่วางแผนเอาไว้ได้
- บันทึกและเตรียมแจ้งเตือนนัดฉีดยาคุมกำเนิดครั้งต่อไปให้รอบคอบ โดยอาจบันทึกไว้ทั้งในโทรศัพท์มือถือและบนปฏิธิน
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นของการฉีดยาคุมกำเนิด
นอกจากอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเกิดฝ้าหนาบนผิว เป็นสิว อารมณ์แปรปรวน น้ำหนักตัวเพิ่ม ตึงคัดเต้านม ผู้ที่ฉีดยาคุมกำเนิดยังอาจเผชิญอาการข้างเคียงอื่นๆ จากการใช้ยาได้อีก เช่น
- ปวดท้อง
- เวียนศีรษะ
- รู้สึกวิตกกัวล ซึมเศร้า
- ผมร่วง หรืออาจเกิดปัญหาขนขึ้นมากผิดปกติ
- อ่อนเพลียง่าย
- ไม่ค่อยมีแรง
- อยากอาหารมากขึ้น
อาการเหล่านี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างที่ใช้ยาซึ่งมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย แต่หากรู้สึกไม่สบายใจ หรืออาการรุนแรงจนกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน ให้กลับไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา
หากหยุดฉีดยาคุมกำเนิดจะตั้งครรภ์ได้เลยไหม?
ในกรณีใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉีดซ้ำทุก 2 เดือน ระยะเวลาในการกลับมาตั้งครรภ์ก็มักจะเทียบเท่ากับการหยุดยาคุมแบบกิน ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 เดือนหลังหยุดยา
แต่ในกรณีของยาคุมกำเนิดแบบฉีดทุก 3 เดือน เมื่อคุณหยุดฉีดยา คุณจะสามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้อีกครั้งในอีก 6-12 เดือนหลังหยุดยา หรืออาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการตองสนองของร่างกายที่มีต่อสารยา
ฉีดยาคุมกำเนิดต่อเนื่องนานๆ ได้ไหม?
คุณสามารถใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉีดในระยะยาวได้ แต่ก็ควรตรวจเช็กประสิทธิภาพของร่างกายที่ตอบสนองต่อฤทธิ์ยาทุกๆ 2 ปี เพื่อให้แน่ใจถึงคุณภาพของยาที่ยังเข้าไปป้องกันโอกาสเกิดการตั้งครรภ์ได้ดีอยู่ รวมถึงตรวจเช็กโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในภายหลัง
เช็กราคาแพ็กเกจฉีดยาคุมกำเนิดในราคาส่วนลด พร้อมมีโปรโมชั่นโดนใจผ่านทางเว็บไซต์ HDmall.co.th อย่าปล่อยให้ตัวคุณต้องอยู่กับความวิตกกังวลในการตั้งครรภ์โดยที่ไม่พร้อม และรับบริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานเพื่อโอกาสตั้งครรภ์ที่น้อยที่สุด
กินยาคุม 28 เม็ด ไม่ใส่ถุงได้ไหม
สวัสดีค่ะคุณ tanyarat boonprasit. หากรับประทานยาคุมแบบแผงรายเดือนครบทุกวันสม่ำเสมอ กินคลาดเคลื่อนวันละไม่เกิน 3 ชั่วโมง แทบจะไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ ไม่จำเป็นต้องใส่ถุงยางอนามัย แต่หากป้องกันอีกชั้นเพื่อลดโอกาสการตั้งครรภ์เพิ่มเข้าไปอีก ก็สามารถใส่ได้ ไม่มีข้อห้ามค่ะใส่ถุงกินยาคุมท้องได้ไหม
และหากใช้หลายๆ วิธีร่วมกัน ทั้งการทานยาคุมกำเนิด ใส่ถุงยางอนามัย และหลั่งนอก โอกาสในการตั้งครรภ์ก็จะยิ่งแทบไม่มีค่ะกินยาคุมแบบรายเดือนมีโอกาสท้องไหม
ยาคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนนั้นเป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก หากได้กินติดต่อกันทุกวันจนหมดแผงยา โดยการเริ่มยาควรเริ่มภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนเพื่อให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ทันที และต้องกินทุกวันจนหมดแผง ถ้าทำได้ดังนี้โอกาสตั้งครรภ์ขณะกินยามีน้อยกว่า 1%กินยาคุมแบบ 21 กี่ วัน ถึง มี เพศ สั ม พัน ได้
ยาคุมกำเนิดแบบแผงจำนวน 21 เม็ดนั้นเป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก หากได้กินติดต่อกันทุกวันจนหมดแผงยา โดยการเริ่มยาควรเริ่มภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนเพื่อให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ทันที หากเริ่มช่วงเวลาอื่น อาจจะต้องกินติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนค่อยมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกันได้ หรือถ้ากินต่อแผงทันที (คือเว้น 7 ...